สรท.ปรับเป้าส่งออกไทยปี 64 ขยายตัว10-12%

สรท.ปรับเป้าส่งออกไทยปี 64 ขยายตัว10-12%

สรท.ปรับคาดการณ์การส่งออก ขยายตัว 10-12% หลังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแข็งแกร่ง ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น จับตาโควิดระบาดในประเทศกระทบภาคการผลิตไทย ขอเร่งรัฐจัดหาวัคซีน สนับสนุนค่าใช้จ่ายคลัสเตอร์ส่งออก

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยเดือน ก.ค.มีมูลค่า 22,650.83 ล้านดอลลาร์  ขยายตัว 20.27 %  เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนก.ค. ขยายตัว 25.38%  ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 22,467.37 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 45.94% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนก.ค. 2564 เกินดุลเท่ากับ 183.46 ล้านดอลลาร์ รวม7 เดือนตั้งแต่ม.ค.-ก.ค. ไทยส่งออกรวมมูลค่า 154,985.48 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 16.20% เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือน ม.ค. - ก.ค. ขยายตัว 21.47%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 152,362.86 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 28.73%  

ทั้งนี้ สรท. ปรับคาดการณ์การส่งออกไทยในปี 2564 เติบโต 10-12%  โดยมีปัจจัยบวกที่สำคัญได้แก่ 1.การฟื้นตัวอย่าแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐ จีน สหภาพยุโรป และ ญี่ปุ่น สืบเนื่องจากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ตามปกติและ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายการผลิตโลก (world PMI index) ที่คงตัวเหนือระดับ 50 อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการฟื้นตัวของกิจกรรมการผลิตสอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างแข็งแกร่ง และ 2. ราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวสูงกว่าปีที่แล้วอย่างต่อเนื่อง จากแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลกโดยเฉพาะยุโรปและสหรัฐฯ ที่เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในหลายพื้นที่ รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่เริ่มส่งสัญญาณอ่อนตัว

สรท.ปรับเป้าส่งออกไทยปี 64 ขยายตัว10-12%

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญ ได้แก่ 1. สถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่มีความรุนแรงในประเทศ มาตรการล็อกดาวน์เพื่อลดการแพร่ระบาดในประเทศ รวมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด – 19 ภายในประเทศยังคงอยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง ภาครัฐจำเป็นต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งจะส่งผลเศรษฐกิจในภาพรวม  การติดเชื้อในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมกระทบต่อกำลังการผลิต และค่าใช้จ่ายตามมาตรการป้องกันทางสาธารณสุขภายในโรงงาน (Bubble & Seal) และเครื่องมือชุดตรวจโรค (ATK) ค่อนข้างสูงและยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากรัฐไม่สามารถดำเนินการแก้ไขหรือสนับสนุนงบประมาณเร่งด่วนได้ จะส่งผลกระทบให้ภาคการผลิตหยุดชะงักหรือไม่สามารถทำการผลิตได้อย่างเต็มที่ ส่งผลต่อการส่งมอบสินค้าและการส่งออกไม่สามารถขยายตัวได้ 10-12% ตามที่คาดการณ์ไว้

 2. ปัญหาการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ  โดยค่าระวางเรือยังคงปรับตัวอยู่ในทิศทางขาขึ้น ในเกือบทุกเส้นทางโดยเฉพาะเส้นทางยุโรป และสหรัฐ เนื่องด้วยปริมาณการขนส่งทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง รวมถึงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม อาทิ Peak Season Surcharge (PSS) และอื่นๆ ซึ่งผู้นำเข้า/ส่งออก ต้องชำระเพิ่มเนื่องจากสถานการณ์การขาดแคลนระวางและตู้คอนเทนเนอร์  ปัญหาการบริหารจัดการตู้สินค้าภายในท่าเทียบเรือ และปัญหาการล่าช้าของเรือทำให้ตู้สินค้าตึงตัว  การปิด Meishan Island Container Terminal ของท่าเรือ Ningbo เนื่องจากพบผู้ติดเชื้อโควิด –19 ส่งผลกระทบให้สายเรือทำ Blank Sailing และการเปลี่ยนแปลงตารางเรือไปทำถ่ายลำที่ท่าเรืออื่นแทน ก่อให้เกิดความหนาแน่นที่ท่าเรือใกล้เคียงเพิ่มขึ้นตามมา

 

3. การยกระดับมาตรการคุมเข้มในการตรวจหาเชื้อโควิดในต่างประเทศ อาทิ ประเทศจีน ที่เพิ่มระดับความเข้มงวดในการตรวจโควิดกับสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงการหมุนเวียนตู้สินค้า และการส่งออกในบางรายสินค้า

 4. การขาดแคลนแรงงาน ความต้องการแรงงานในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น แรงงานต่างด้าวที่เดินทางกลับประเทศและยังไม่ได้เดินทางกลับเข้ามา เนื่องจากมาตรการปิดประเทศ ประกอบกับปัจจุบันจำนวนวัคซีนโควิด – 19 ในประเทศไทย ยังไม่สามารถจัดสรรให้เพียงพอกับจำนวนแรงงานในภาคการผลิตเท่าที่ควร ยิ่งซ้ำเดิมปัญหาการขาดแคลนแรงงานให้ทวีความรุนแรงมากขึ้นและกระทบต่อการผลิตเพื่อการส่งออก

 5. ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่า จากปัจจัยความกังวลต่อสถานการณ์ระบาดของโควิดในประเทศ ส่งผลด้านลบต่อทางเศรษฐกิจไทยปี 2564 และการอ่อนค่าโดยเปรียบเทียบของดอลลาร์สหรัฐ จากการที่เฟดจะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ (QE Tapering) ภายในปีนี้ หากเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวขึ้นในวงกว้างตามคาดการณ์ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแรงกดดันเงินเฟ้อสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูงขึ้น ส่งผลให้ปริมาณไหลเงินเข้ายังกลุ่มประเทศ Emerging market มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลการส่งออกของไทยในระยะต่อไป 6. ปริมาณปัจจัยการผลิตไม่เพียงพอและต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น อาทิ ปัญหาการขาดแคลนชิป สินค้าเหล็ก ผลผลิตทางการเกษตร และอาจมีแนวโน้มยังคงขาดแคลนต่อเนื่องถึงไตรมาส 4/2564

ทั้งนี้ทางสรท.มีข้อเสนอแนะของสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย 1. ขอให้รัฐช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 10,000 บาท/คน สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและภาคการผลิตที่เริ่มเข้ามาตรการ Factory Quarantine (FQ) หรือ Factory Accommodation Isolation (FAI) ในช่วงตั้งต้นของการดำเนินมาตรการ (One Time Cost) 2. สนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ทางสาธารณสุข อาทิ ชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 หรือ Antigen Test Kit (ATK) ให้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีพนักงานบางส่วนติดเชื้อ และต้องมีการตรวจติดตามพนักงานอื่นที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป็นระยะ อย่างน้อย 7-14 วันต่อครั้ง ซึ่งเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูงโดยเฉพา SME รวมถึงขอให้มีการควบคุมราคาชุดตรวจ ATK ให้อยู่ในราคาที่เหมาะสม 3. เร่งฉีดวัคซีนให้แรงงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกให้ครอบคลุมโดยเร็ว เพื่อช่วยให้แรงงานลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อและมีรายได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยรักษากำลังซื้อของครัวเรือนทั่วประเทศและพยุงเศรษฐกิจในประเทศให้สามารถเดินหน้าต่อไป