ประยุทธ ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนาม โครงการลมหายใจเดียวกัน
"ประยุทธ์" ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนาม โครงการลมหายใจเดียวกัน 120 เตียง ใหญ่ที่สุดในประเทศ ปตท. มุ่งเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นถึงขั้นวิกฤต และผู้ป่วยเสี่ยงสูงที่ต้องฟอกไต จากการผนึกกำลังของกลุ่ม ปตท. ภาครัฐ และพันธมิตรทางการแพทย์
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนาม ICU สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ระดับสีแดง ในโครงการลมหายใจเดียวกัน กลุ่ม ปตท. บนพื้นที่ 4 ไร่ ด้านหน้าโรงพยาบาลปิยะเวท เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ พร้อมด้วย นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ ประธานกรรมการ ปตท. นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. กล่าวว่า กลุ่ม ปตท. ตระหนักถึงความสำคัญเร่งด่วนในการร่วมแก้ปัญหาโควิด-19 ซึ่งเป็นวิกฤตใหญ่ของประเทศ โดยตั้งแต่มกราคม 2563 ถึงปัจจุบัน กลุ่ม ปตท. ได้จัดสรรงบประมาณกว่า 1,700 ล้านบาท เพื่อช่วยบรรเทาสถานการณ์ความรุนแรงในหลายด้าน จนนำมาสู่การจัดตั้ง “โครงการลมหายใจเดียวกัน” ขึ้นในปี 2564 เพื่อแบ่งเบาภาระของภาครัฐ และร่วมดูแลประชาชน โดยเฉพาะการมอบเครื่องช่วยหายใจ ออกซิเจนเหลว อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น ให้แก่โรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ และในขณะนี้ที่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย กลุ่ม ปตท. เล็งเห็นถึงความสำคัญของการผนึกพลังกับภาครัฐและเอกชน ในการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 มุ่งตรวจเร็ว แยกเร็ว รักษาเร็ว เพื่อให้ประชาชนผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านี้ไปให้ได้ จึงได้จัดตั้งหน่วยคัดกรองโควิด-19 เปิดคัดกรองเฉลี่ยวันละ 1,000 - 1,200 คน เมื่อพบว่าติดเชื้อจะคัดแยกและให้ยารักษาทันที และจัดตั้งโรงพยาบาลสนามครบวงจร (End-to-End)
สร้างความอุ่นใจแก่ประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2564 โดยวางระบบ Home Isolation และโรงพยาบาลสนาม (Hospitel) สีเขียว 1,000 เตียง สีเหลือง 300 เตียง และจัดตั้ง “โรงพยาบาลสนาม ICU” 120 เตียง ถือเป็น ICU สนามที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ที่มีความสำคัญยิ่งในการช่วยลดการเสียชีวิตของประชาชน ด้วยความร่วมมือของพันธมิตรทุกภาคส่วน ผนวกกับความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีของกลุ่ม ปตท. ทำให้สามารถดูแลผู้ป่วยและสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ในระยะเวลาเพียง 1 เดือน (9 สิงหาคม – 8 กันยายน 2564) หน่วยคัดกรองโควิด-19 และโรงพยาบาลสนามครบวงจร กลุ่ม ปตท. ให้บริการคัดกรองแก่ประชาชนไปแล้วกว่า 23,000 ราย ให้การรักษาผู้ติดเชื้อกว่า 2,600 ราย ในทุกระดับอาการ ขณะนี้มีผู้หายป่วยจากการรักษาในโครงการฯ แล้วจำนวนกว่า 1,100 ราย คิดเป็นร้อยละ 42 ทั้งนี้ จะเปิดให้บริการไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศจะผ่านพ้นไป
นพ.วิทิต อรรถเวชกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท โรงพยาบาลปิยะเวท กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่เกิดขึ้น การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับทุกระดับอาการแบบครบวงจร และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะช่วยกันดูแลและรักษาชีวิตประชาชนได้ ซึ่งโรงพยาบาลสนามกลุ่ม ปตท. สำหรับผู้ป่วยโควิดที่มีอาการวิกฤต (ICU) ระดับสีแดงมีความพร้อมระดับสูงสุด รองรับผู้ป่วยได้ จำนวน 120 เตียง โดยจัดให้มีพื้นที่รองรับผู้ป่วยโควิดที่ต้องฟอกไตโดยเฉพาะ จำนวน 24 เตียง เนื่องจากหากคนไข้ไม่สามารถฟอกไตได้ จะทำให้คนไข้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงมาก นอกจากนี้ยังมีเครื่องช่วยหายใจ ระบบออกซิเจนส่งตรงถึงทุกเตียง ซึ่งแต่ละเตียงจะแยกห้องกัน เป็นลักษณะห้องความดันลบ (Negative pressure room) เพื่อความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมมาตรฐานระดับห้องไอซียูในโรงพยาบาล ใช้เทคโนโลยีระบบดิจิทัล (central monitor) ทำให้สามารถสังเกตอาการของผู้ป่วยได้ตลอดเวลา และมีระบบการกู้ชีพอัตโนมัติ มีเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ สามารถส่งภาพไปยังรังสีแพทย์ทางไกลได้ทันที ถือเป็นการดูแลผู้ป่วยแบบเข้มข้น (Intensive care) และมีรถพยาบาลฉุกเฉิน ที่เตรียมพร้อมรับส่งคนไข้ อีกทั้งมีแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่อย่างเพียงพอ มีเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมของกลุ่ม ปตท. และ “Hybrid Treatment for PM2.5 and Airborne Pathogens” ของสถาบันนวัตกรรม ปตท. มาติดตั้ง เพื่อฟอกและกำจัดเชื้อโรคในอากาศบริเวณโดยรอบอีกด้วย
กลุ่ม ปตท. ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและส่งเสริมการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ จนกว่าสถานการณ์โควิด-19 จะผ่านพ้นไป ด้วยเชื่อว่าคนไทยทุกคนล้วนมีลมหายใจเดียวกัน จึงขอเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์และคนไทยก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน