CCP มั่นใจครึ่งหลังปี 64 รายได้โต รับเปิดแคมป์ก่อสร้าง

CCP มั่นใจครึ่งหลังปี 64 รายได้โต รับเปิดแคมป์ก่อสร้าง

CCP คาดรายได้ปี 64 เติบโตตามเป้าหมาย 2.6 พันล้าน มั่นใจครึ่งหลังเติบโตดีกว่าครึ่งแรกแม้เผชิญล็อกดาวน์ เหตุลูกค้าโครงการรัฐ-นิคมอุตสาหกรรมยังเดินหน้าก่อสร้างต่อเนื่อง พร้อมตุนแบ็คล็อก 1.8 พันล้าน ทยอยรับรู้รายได้อีก 1 ปีครึ่งหลังจากนี้

นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP เปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์รายได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะสามารถเติบโตได้ดีกว่าช่วงครึ่งแรกของปีที่ทำรายได้อยู่ที่1,302.15 ล้านบาท ซึ่งจะหนุนให้รายได้ทั้งปี 2564 สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 2,600 ล้านบาท โดยได้ปัจจัยหนุนจากศักยภาพตลาดที่ยังเติบโตดี โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นหน่วยงานราชการ ซึ่งในช่วงโควิด-19 มีการเลื่อนส่งมอบสินค้าออกไปเป็นการชั่วคราวเท่านั้น

ส่วนลูกค้าภาคเอกชนยังมีความต้องการเข้ามาต่อเนื่อง เพราะส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นเซกเมนต์ที่ยังเติบโตได้ดี ส่วนกลุ่มลูกค้าอสังหาริมทรัพย์ พบว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ยังเดินหน้าก่อสร้างโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้ประกอบการรายเล็กที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดง มีการบริโภคคอนกรีตลดลง

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2564 ยอมรับว่ามาตรการล็อกดาวน์ส่งผลให้โครงการก่อสร้างต่างๆ สะดุดลง และส่งผลให้ลูกค้าไซต์งานก่อสร้างเลื่อนการบริโภคคอนกรีตออกไป อย่างไรก็ดี ภายหลังรัฐบาลประกาศคลายล็อกดาวน์เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมา บริษัทสามารถทยอยส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสนับสนุนให้การบริโภคคอนกรีตของลูกค้าทยอยฟื้นตัว และคาดว่าการส่งมอบสินค้าที่ถูกเลื่อนจากช่วงล็อกดาวน์จะไปกระจุกตัวในช่วงปลายปี 2564 ต่อเนื่องไปยังต้นปี 2565

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือรอส่งมอบ (Backlog) มูลค่า 1,800 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้ในช่วง 1 ปีครึ่งต่อจากนี้ ส่วนใหญ่กว่า 80% เป็นงานโครงการก่อสร้างของภาครัฐ ซึ่งรวมถึงโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และอีก 20% ที่เหลือเป็นโครงการก่อสร้างของภาคเอกชน

นายอาทิตย์ กล่าวว่า แม้บริษัทจะประเมินโอกาสที่ประเทศไทยจะกลับไปล็อกดาวน์อีกครั้งไว้ต่ำ เพราะจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี คาดว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะยังส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 5 ปี และมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) เพราะเชื้อดังกล่าวสามารถติดต่อได้ทุกที อีกทั้งยังมีการกลายพันธุ์ ดังนั้น บริษัทจะปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อพร้อมรับสถานการณ์

ในการนี้ บริษัทเดินหน้าปรับการบริหารจัดการภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น (Lean Management) รวมถึงปรับกลยุทธ์การขายสินค้าให้มีรายได้จากหลายช่องทาง ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ รวมถึงมีแผนขยายฐานลูกค้าให้มากกลุ่มอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากโควิด-19 นักลงทุนสามารถมั่นใจได้ว่าบริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง สะท้อนกระแสเงินสดจากการดำเนินการที่ 155.65 ล้านบาท รวมถึงได้วงเงินสินเชื่อจากธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ในวงเงินที่ค่อนข้างสูงเพื่อใช้ในการดำเนินงาน