โรงแรมภาคใต้เร่งฟื้นธุรกิจ ดึงคนไทยจ่ายถูกเที่ยวหรู!
จังหวัดภูเก็ตดำเนินโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” มากว่า 2 เดือน จากสถิติพบยอดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศสะสม 76 วันแรก ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.-14 ก.ย.ที่ผ่านมา จำนวน 32,005 คน มียอดจองห้องพักโรงแรมที่ได้มาตรฐาน SHA Plus ตลอดไตรมาส 3 นี้สะสม 524,221 คืน
แม้จะต่ำกว่าเป้าหมายอยู่พอสมควร แต่ภาคเอกชนท่องเที่ยวภูเก็ตมองว่าเป็น “จุดเริ่มต้น” ที่ทรงพลัง และจุดประกายความหวังให้กับทุกภาคส่วน! ต่อลมหายใจให้แก่ผู้ได้รับอานิสงส์ มีการกระจายรายได้ตลอดห่วงโซ่อุปทานของการท่องเที่ยว
สุรฉัตร เอี๋ยวสกุล กรรมการสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ และประธานผู้ประกอบการรุ่นใหม่ YEC หอการค้าจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า แม้โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์จะเริ่มต้นเดินมาได้ดีระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจแก้ปัญหาปากท้องประชาชนได้ เนื่องจากมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตไม่ถึง 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562
“จากประมาณการมีโรงแรมในจังหวัดภูเก็ตก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 จำนวน 2,500 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพักประมาณ 150,000 ห้อง พอโควิด-19 ระบาดหนัก ส่งผลให้โรงแรมปิดตัวกว่า 90% แต่จากฐานข้อมูลในระบบ SHABA ล่าสุด พบว่ามีโรงแรมมาขึ้นทะเบียนเพื่อรับมาตรฐาน SHA Plus ประมาณ 700 แห่ง และมีลูกค้าเข้าพักประมาณ 400 แห่ง สอดคล้องกับการคาดการณ์ว่ามีโรงแรมที่เปิดตัวเป็นช่วงๆ โดยในช่วงเดือน ก.ค.2563-มิ.ย.2564 มีโรงแรมเปิด 300 แห่ง คิดเป็น 12% ด้วยจำนวนห้องพักประมาณ 15,000 ห้อง ส่วนช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.2564 มีโรงแรมเปิดเพิ่มเป็น 500 แห่ง คิดเป็น 20% ด้วยจำนวนห้องพักประมาณ 30,000 ห้อง”
อ่านข่าว : ด่วน! ยอด โควิด-19 วันนี้ ติดเชื้อเพิ่ม 13,897 ราย เสียชีวิต 188 ราย ATK อีก 1,768 ราย
อย่างไรก็ตามโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์นับเป็นความหวังเดียว! ที่จะเป็นทางออกของการฟื้นเศรษฐกิจจังหวัดภูเก็ต โดยฝากความหวังไว้ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ซึ่งเข้าสู่ไฮซีซั่นของทะเลอันดามัน จากการทดสอบตลาดพบว่ายังมีความต้องการเดินทางมาท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากตลาดยุโรปที่จะเดินทางหนีหนาวเข้ามา หากประเทศไทยมีการจัดการที่เหมาะสมและสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวถึงเดือนละ 200,000 คน คิดเป็น 20% ของภาวะปกติ
แต่ถึงกระนั้นธุรกิจโรงแรมก็จะยังคงไม่สามารถทำกำไรได้ และยังคงสภาพการขาดทุนไปอีกอย่างน้อย 1 ปี!
อีกจุดที่น่ากังวลในช่วงนี้คือสถานการณ์โควิด-19 ยังคงระบาดเป็นวงกว้างภายในประเทศ ทำให้ตลาดความหวังอย่าง “สหรัฐ” ซึ่งเดินทางมาเที่ยวภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์มากเป็นอันดับ 1 จากสถิติช่วง 2 เดือนแรกของการเปิดโครงการฯ ทางหน่วยงานป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐ หรือ ซีดีซี ได้ประกาศเมื่อ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา ยกระดับคำเตือนให้ชาวสหรัฐหลีกเลี่ยงการเดินทางมายังประเทศไทย เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุด (Level 4) ต่อการระบาดของโควิด-19
ส่วนตลาด “สหราชอาณาจักร” ซึ่งเดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์มากเป็นอันดับ 2 นั้น ทางรัฐบาลได้ประกาศปรับสถานะให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มสีแดง (Red List) เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา ทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทย เมื่อกลับเข้าสหราชอาณาจักรจะต้องถูกกักตัวในโรงแรมที่รัฐบาลกำหนดเป็นเวลา 10 วัน และจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง 2,230 ปอนด์ หรือประมาณ 1 แสนบาท
เรียกได้ว่าส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของหลายจังหวัดในภาคใต้ เช่น ภูเก็ต กระบี่ พังงา และสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีโครงการนำร่องเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ โครงการสมุย พลัส โมเดล และโครงการ 7+7 ภูเก็ต เอ็กซ์เทนชั่น ที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเชื่อมโยงหลังจากพำนักในภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ครบ 7 คืนแรก แล้วไปเที่ยวต่อในพื้นที่นำร่องของกระบี่ พังงา และสุราษฎร์ธานีในช่วง 7 คืนหลัง
ภาคเอกชนท่องเที่ยวและโรงแรมใน 4 จังหวัดดังกล่าวจึงจำเป็นต้อง “ปรับกลยุทธ์” เพื่อกระตุ้นยอดนักท่องเที่ยวและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ด้วยการดึงตลาด “นักท่องเที่ยวไทย” ผ่านโครงการ “เอ็กซ์พีเรียนส์ ทู ซี” (Experience2Sea) จัดโปรโมชั่นชูบริการระดับพรีเมียม ครอบคลุมทั้งโรงแรมที่พัก กิจกรรมท่องเที่ยวทางทะเล และร้านอาหาร ดึงคนไทยให้มาท่องเที่ยวในพื้นที่ภูเก็ต กระบี่ พังงา และสุราษฎร์ธานีมากขึ้นหลังจากรัฐบาลคลายล็อกการเดินทางภายในประเทศ ประกอบกับตลาดคนไทยท่องเที่ยวต่างประเทศยังติดข้อจำกัดการเดินทางจากวิกฤติโควิด-19
“ในภาวะปกติก่อนเกิดวิกฤติโควิด บางโรงแรมเสนอขายราคาห้องพักตั้งแต่ 5,000-10,000 บาทต่อคืน แต่ในช่วงนี้ผู้ประกอบการต้องปรับตัว บางแห่งลดราคาขายเหลือประมาณ 2,000 บาทต่อคืนเพื่อดึงกระแสเงินสดมาหมุนเวียนธุรกิจ โดยคาดว่าคนไทยจะเริ่มเดินทางมาเที่ยวทะเลภาคใต้ช่วงไฮซีซั่นเดือน พ.ย.นี้เป็นต้นไป หากสถานการณ์ยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันลดลง จนส่งผลให้คนไทยมั่นใจ กล้าออกเดินทางมากขึ้น”
ทั้งนี้นักท่องเที่ยวสามารถซื้อสินค้าและบริการท่องเที่ยวจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเอ็กซ์พีเรียนส์ ทู ซี ได้ภายในเดือน ก.ย.นี้ ในรูปแบบ “ซื้อก่อน เที่ยวทีหลัง” โดยผู้ประกอบการบางรายวางเงื่อนไขให้ใช้บริการได้ถึงไตรมาส 1 ปี 2565 ทั้งนี้คาดหวังว่าจะเกิดยอดการซื้อขายไม่ต่ำกว่า 1,200 รายการ คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 5 ล้านบาท