หวังเดินหน้าเปิดประเทศชุบชีวิต‘หุ้นโรงแรม’
แผนการเปิดประเทศเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเรื่อยๆ หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย จำนวนผู้ติดเชื้อค่อยๆ ลดลง หลายพื้นที่ทยอยกลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง ส่งผลให้บรรยากาศการท่องเที่ยวเริ่มคึกคักขึ้น
โดยนายกฯ ยืนยันว่าจะเดินหน้าเปิดประเทศภายใน 120 วัน ซึ่งจะตรงกับวันที่ 14 ต.ค. นี้ หากพื้นที่ไหนประเมินแล้วว่ามีความพร้อมสามารถเปิดได้เลย ไม่จำเป็นต้องรอเปิดพร้อมกันทั้งประเทศ
จึงเป็นที่มาของการทำโมเดลแซนด์บ็อกซ์ นำร่องด้วยจังหวัดภูเก็ตตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา ตามด้วยเกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี และพื้นที่บางส่วนของจังหวัดกระบี่และพังงา
ซึ่งวันนี้ (17 ก.ย.) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจะเสนอ ศบค. เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มอีก 4 จังหวัดในวันที่ 1 ต.ค. ได้แก่ หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์, ชะอำ จังหวัดเพชรบุรี, เมืองพัทยา อำเภอบางละมุงอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และอำเภอเมือง อำเภอแม่ริม อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
ส่วนการเปิดกรุงเทพฯ ได้วันอย่างเป็นทางการแล้ว 15 ต.ค. เลื่อนจากกำหนดการเดิม 1 ต.ค. ออกไป 2 สัปดาห์ เนื่องจากต้องรอให้การฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ถึงเกณฑ์ 70% ก่อน
โดยปัจจุบันการฉีดวัคซีนให้กับคนกรุงเทพฯ เข็มที่ 1 คืบหน้าไปมากแล้ว ฉีดไปกว่า 93% ส่วนเข็มที่ 2 อยู่ที่กว่า 37% หรือ เกือบ 3 ล้านคน ดังนั้นในช่วงเวลาที่เหลืออีก 1 เดือน ต้องเร่งฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ให้ได้เฉลี่ยวันละประมาณ 8 หมื่นคน
สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในพื้นที่ “แบงค็อก แซนด์บ็อกซ์” สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ทุกเขต เมื่ออยู่ครบ 14 วัน สามารถเดินทางไปยังพื้นที่อื่นๆ ได้ทั่วประเทศ หรือ อยู่ครบ 7 วัน อีก 7 วันที่เหลือ ไปท่องเที่ยวในพื้นที่แซนด์บ็อกซ์อื่นๆ ได้
เชื่อว่าบรรยกาศการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปีน่าจะเริ่มคึกคักขึ้น โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติในพื้นที่ 9 จังหวัดนำร่องปีนี้ที่ 1 ล้านคน
ส่วนตลาดไทยเที่ยวไทยเริ่มคึกคักขึ้นเช่นกัน หลังมีการปลดล็อกดาวน์ให้สามารถเดินทางข้ามจังหวัดได้ เริ่มเห็นคนไทยออกมาเที่ยวมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นจังหวัดใกล้ๆ ที่สามารถขับรถไปได้ ส่วนที่ไกลๆ อาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง รอให้สถานการณ์นิ่งกว่านี้
ขณะที่ภาครัฐเตรียมเปิดโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ทั้ง “เราเที่ยวด้วยกัน” และ “ทัวร์เที่ยวไทย” ซึ่งมีข่าวออกมาว่าเตรียมเปิดให้จองสิทธิ์ 24 ก.ย. นี้ และเริ่มเดินทางช่วงเดือน ต.ค. น่าจะทำให้ตลาดไทยเที่ยวไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง
แนวโน้มภาคการท่องเที่ยวเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น ถือเป็นปัจจัยบวกต่อหลายธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อย่างกลุ่มโรงแรมที่ได้รับผลกระทบหนักตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 จนผลประกอบการขาดทุนไปตามกันๆ เพราะแทบไม่มีรายได้เข้ามาเลย
ผู้ประกอบการหลายรายโดยเฉพาะรายกลางรายเล็กที่สายป่านสั้น ขาดสภาพคล่องหล่อเลี้ยงธุรกิจ ต้องยอมยกธงขาวถอดใจเลิกกิจการไปไม่น้อย
ส่วนผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทยบาดเจ็บสาหัสไม่ต่างกัน โดยบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ที่มีสัดส่วนรายได้จากในประเทศมากที่สุดในกลุ่มกว่า 90% ปรากฎว่าปี 2563 เลือดอาบพลิกขาดทุนถึง 1,715.26 ล้านบาท อัตราการเข้าพักอยู่ที่ 37% จากปีก่อนที่ยังไม่มีโควิด 76% และรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเหลือเพียง 429 บาทต่อคืน จาก 1,414 บาทต่อคืน
มาปีนี้ยังสาหัสหลังเจอการระบาดรอบใหม่เล่นงาน 6 เดือนแรกขาดทุนไปแล้ว 1,181.72 ล้านบาท โดยอัตราการเข้าพักและรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักยังลดลงต่อเนื่องอยู่ที่ 25% และ 213 บาทต่อคืน ตามลำดับ
ด้านบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL เจอพิษโควิดเล่นงานอ่วม ถือเป็นจุดต่ำสุดของธุรกิจเลยก็ว่าได้ รายได้จากธุรกิจโรงแรม 6 เดือน ปี 2564 ทำได้เพียง 822 ล้านบาท ลดลง 58% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อัตราการเข้าพักยังอยู่ในช่วงขาลงปี 2563 อยู่ที่ 28% ส่วน 6 เดือนแรก ปี 2564 เหลือเพียง 11% ส่วนรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักลดลงจาก 955 บาทต่อคืน เหลือ 259 บาทต่อคืน
ส่วนบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ที่รายได้ธุรกิจโรงแรมเกินครึ่งมาจากต่างประเทศ จึงเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวบ้างแล้ว โดยมีรายได้จากธุรกิจโรงแรม 6 เดือนแรก ปี 2564 ทั้งหมด 16,424 ล้านบาท ลดลง 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยรายได้ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 เร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจนอยู่ที่ 9,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 361% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตราการเข้าพักเฉลี่ยล่าสุดยังทรงตัวจากปี 2563 ที่ 25% ส่วนรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเหลือ 916 บาทต่อคืน จาก 1,203 บาทต่อคืน
หวังว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ เมื่อเริ่มเปิดประเทศ และคนไทยเริ่มกลับมาเดินทางอีกครั้ง รวมทั้งมีแรงกระตุ้นจากภาครัฐเข้ามาเสริมน่าจะทำให้บรรยากาศท่องเที่ยวคึกคักขึ้น จุดต่ำสุดของธุรกิจโรงแรมน่าจะผ่านพ้นไปแล้ว เวลานี้ต้องภาวนาอย่างเดียวว่าอย่าให้เกิดการระบาดรอบใหม่ซ้ำเติมขึ้นอีก