ttb ได้รับความน่าเชื่อเพิ่มขึ้นจาก ฟิทช์ เรทติ้งส์

ttb ได้รับความน่าเชื่อเพิ่มขึ้นจาก ฟิทช์ เรทติ้งส์

ทีเอ็มบีธนชาต ได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นจากฟิทช์ เรทติ้งส์ หนุนโดยการปรับสถานะเข้ากลุ่มธนาคาร D-SIBs สะท้อนศักยภาพและความมั่นคงของธนาคารหลังรวมกิจการเสร็จสมบูรณ์

ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต ได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือขึ้น โดยฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ได้ประกาศปรับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของทีเอ็มบีธนชาตเพิ่มขึ้น 1 อันดับเป็น BBB จาก BBB- และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว เพิ่มขึ้นเป็น ‘AA+(tha)’ จาก ‘AA-(tha)’ และแนวโน้ม ‘มีเสถียรภาพ’

พร้อมระบุถึงปัจจัยสนับสนุนการปรับเพิ่มอันดับในครั้งนี้ว่า ทีเอ็มบีธนชาตสามารถดำเนินการรวมธนาคารได้เสร็จสมบูรณ์ตามแผน ส่งผลให้มี Systemic Importance หรือความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังได้รับการปรับสถานะเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบในประเทศ หรือธนาคารกลุ่ม D-SIBs (Domestic systemically important banks) ซึ่งประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

 

 

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) กล่าวว่า นับตั้งแต่ประกาศแผนรวมกิจการกับธนาคารธนชาต ธนาคารได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มจาก มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (Moody’s Investor Service) ในปี 2562 ตามมาด้วย เอสแอนด์พี (S&P Global Ratings) ในปี 2563 และล่าสุดเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2564 ที่ผ่านมาจาก ฟิทช์ เรทติ้งส์ การปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำทั้ง 3 แห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี 2563-2564 ซึ่งเศรษฐกิจทั่วโลกต้องเผชิญแรงกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 ก็สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองเชิงบวกต่อศักยภาพของธนาคารภายหลังการรวมกิจการ และความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงินในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฐานเงินกองทุน สภาพคล่อง และคุณภาพสินทรัพย์ ลูกค้าและนักลงทุนจึงมั่นใจได้ว่า ธนาคารมีความมั่นคงแข็งแรงและมีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังคงยืดเยื้อ

“สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับทีเอ็มบีธนชาตในขณะนี้ ก็คือการให้ความช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งในปีที่แล้ว ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าไปกว่า 750,000 ราย และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทยและภาครัฐ ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานด่านหน้าที่คอยให้บริการลูกค้าในสาขาต่าง ๆ รวมไปถึงการให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อร่วมต่อสู้และก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน”