วิรไท แนะเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เน้นสร้างงานในชนบทอย่างยั่งยืน
"วิรไท" ชี้ไทยต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ - การบริหารงานอย่างจริงจัง เน้นปรับรูปแบบการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ - เอกชน - ภาคประชาสังคม - สถาบันการศึกษา เพื่อรองรับโลกยุค VUCA ที่เปลี่ยนไปหลังวิกฤตโควิด-19 ยกโมเดล "ปิดทองหลังพระ" สร้างความร่วมมือจนงานสำเร็จ
วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และ กรรมการมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ กล่าวในงานเสวนา "ฝ่าวิกฤตโควิด-19 พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมฐานราก ออกแบบอนาคตไทยที่ยั่งยืน" ว่า ประเทศไทยโดยเฉพาะภาครัฐต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมและปรับรูปแบบการทำงานอย่างจริงจัง (transformation) เพื่อรับมือกับความท้าทายหลายประการที่เกิดขึ้นจากวิกฤตโควิด-19
วิรไท อธิบายว่า ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ประเทศไทยประสบปัญหาโครงสร้างหลายอย่างที่รุนแรงอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านผลิตภาพ (productivity) ที่อยู่ในระดับต่ำและเพิ่มขึ้นช้ากว่าประเทศอื่น โดยเฉพาะภาคการเกษตร และภาคบริการที่ส่วนใหญ่เป็นบริการแบบดั้งเดิม เช่น การท่องเที่ยว นอกจากนี้ พบว่าแรงงานส่วนหนึ่งได้เคลื่อนย้ายจากภาคอุตสาหกรรมไปสู่ภาคท่องเที่ยวและภาคบริการ ส่งผลให้แรงงานมีรายได้และผลิตภาพลดลง แม้ว่าตัวเลขอัตราการว่างงานในภาพรวมอยู่ในระดับต่ำ
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำในหลายมิติ รวมถึงการเกิดเทคโนโลยีดิสรัปชั่น (technology disruption) ซึ่งกระทบต่อวิธีการทำงาน โดยเฉพาะวิธีการทำงานของแรงงานทั่วไป เพราะมีการใช้กลไกหุ่นยนต์แทนการทำงานมากขึ้น
และที่สำคัญคือ ภาครัฐยังมีกฎเกณฑ์ ระเบียบการดำเนินงานที่ล้าสมัย ไม่ทันต่อความท้าทายและบริบทปัจจุบัน ทำให้ไม่สามารถให้บริการประชาชนได้อย่างคล่องตัว และไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของประชาชนและธุรกิจได้
"ปรากฏการณ์เช่นนี้ เมื่อถูกกระตุ้นให้รุนแรงขึ้นด้วยวิกฤติโควิด-19 จึงทำให้เกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไปในรูปแบบตัว K กล่าวคือ ผู้ที่ร่ำรวยและมีทรัพยากรมากกว่าจะยิ่งมีโอกาสได้ประโยชน์สูงขึ้น ในขณะที่คนยากจน หรือคนตัวเล็กตัวน้อย จะเสียเปรียบ แข่งขันได้ยากขึ้น และจะยิ่งยากจนลง"
เขาชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจากวิกฤตโควิด-19 คือ มีคนวัยทำงานตกงาน ต้องออกจากเมืองใหญ่และเมืองอุตสาหกรรมกลับสู่ชนบทหลายล้านคน และมีแนวโน้มว่าคนเหล่านั้นจะไม่สามารถกลับมาทำงานในเมืองได้อีกเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง เพราะหลายอุตสาหกรรมมีกำลังการผลิตส่วนเกินอยู่สูง และรูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จะใช้หุ่นยนตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามามากขึ้น
โจทย์สำคัญของประเทศไทยขณะนี้ คือเราจะทำอย่างไรให้คนในวัยทำงานนับล้านคนเหล่านี้สามารถมีอาชีพอยู่ในชนบทได้อย่างยั่งยืน คนวัยทำงานที่กลับบ้านจะสามารถสร้างความเข้มแข็ง และสร้างการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจและสังคมชนบทได้ด้วย แก้ปัญหาผลิตภาพต่ำในภาคการเกษตร แก้ปัญหาครอบครัวโหว่กลาง และสังคมชนบทที่อ่อนแอลงเรื่อย ๆ ตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ในรอบนี้ คนวัยทำงานที่กลับบ้านพอเข้าใจเรื่องการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลระดับหนึ่ง มีทักษะการทำงาน การติดต่อสื่อสาร การหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาท้องถิ่นได้ ถ้าช่วยกันสร้างโอกาส และพัฒนาทักษะที่เหมาะสม เขาจะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลง เป็น change agent ที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับชนบทไทยได้
วิรไทยังได้ฝากสามคำถามสำคัญไว้ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานภาครัฐพิจารณาก่อนที่จะเริ่มทำโครงการใด ๆ ต้องถามตัวเองว่า
1.โครงการต่าง ๆ ที่จะทำจะมีผลช่วยปรับโครงสร้างและสร้างความยั่งยืนในระยะยาวหรือไม่ จะตอบโจทย์ความท้าทายในอนาคตอย่างไร
2.หน่วยงานภาครัฐจำเป็นต้องเป็นคนลงมือทำโครงการเหล่านี้เอง หรือควรมีบทบาทสนับสนุนให้ภาคเอกชน ประชาสังคม ชุมชน หรือท้องถิ่นที่เก่งกว่า มีความชำนาญเฉพาะด้านมากกว่าเป็นคนลงมือทำ
และ 3.ใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นกลไกในการดำเนินการหลักหรือไม่ ในโลกปัจจุบัน ทุกเรื่องที่หน่วยงานภาครัฐคิดจะทำควรต้องให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลก่อน (digital first) เสมอ
ทั้งนี้ได้เสนอแนวทางการปฏิบัติงานของข้าราชการในพื้นที่เพื่อฝ่าวิกฤต โควิค-19 ไว้ดังนี้
1.ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมมากกว่าเพียงการเยียวยาในช่วงสั้น ๆ เพียงอย่างเดียว เพื่อรองรับความท้าทายใหม่ ๆ ที่จะมีมากขึ้น
2.ต้องเน้นการทำงานในลักษณะล่างขึ้นบนให้มากขึ้น มากกว่าการกำหนดสูตรสำเร็จจากส่วนกลาง เพราะแต่ละพื้นที่มีปัญหาต่างกัน มีบริบทต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพยากร บุคลากร สภาพพื้นที่ และการบริหารจัดการ
3.ควรต้องเน้นการสร้างงานในชนบทนับล้านตำแหน่ง ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาทักษะใหม่หรือ reskilling ให้ตอบโจทย์ของโลกใหม่
โดยหน่วยงานภาครัฐไม่จำเป็นต้องลงมือทำเอง แต่ต้องทำงานร่วมกันระหว่าง ภาครัฐ ภาคการศึกษา ธุรกิจ ประชาสังคม และชุมชน โดยหน่วยงานภาครัฐควรมีบทบาทเป็นผู้สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ และติดตามประเมินผล เมื่อมองไปข้างหน้าพบว่าประชาชนมีความเดือดร้อนอีกมากที่ต้องได้รับการแก้ไข ถ้าให้หน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ลงมือทำเอง จะไม่สามารถตอบโจทย์ได้อย่างเท่าทัน และอาจจะไม่เกิดประสิทธิผลเมื่อเทียบกับการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นที่มีประสบการณ์ และความชำนาญเฉพาะด้านสูงกว่าหน่วยงานภาครัฐ
โดยได้ยกตัวอย่างของการทำงานของ "มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ" ที่เข้าไปเติมเต็มช่องว่างในการประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ และระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับชุมชน โดยหนึ่งปีที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดวิกฤติโควิด-19 ได้จัดทำโครงการพิเศษเพื่อซ่อมแซมแหล่งน้ำขนาดเล็ก กว่า 650 โครงการใน 9 จังหวัดใช้เงินลงทุนประมาณ 250 ล้านบาท หรือตกโครงการละประมาณ 4 แสนบาท สามารถจ้างแรงงานที่ตกงานกลับบ้านได้ประมาณ 1,000 คน แหล่งน้ำขนาดเล็กเหล่านี้สามารถกลับมาเก็บกักน้ำได้มากกว่า 120 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือรวมกันแล้วมีขนาดใกล้เคียงกับความจุของเขื่อนกิ่วลม ส่งผลให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 1,400 ล้านบาท
หลักการทำงานที่สำคัญคือ การให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและแสดงความต้องการที่จะอาสาร่วมแรงร่วมใจกันซ่อมแซมแหล่งน้ำเหล่านี้โดยไม่มีค่าจ้าง ไม่มีการจ้างเหมาผู้รับเหมามาดำเนินโครงการ การที่เริ่มจากให้ชาวบ้านอาสาลงแรงร่วมกัน เป็นวิธีหนึ่งที่จะแสดงว่าโครงการเหล่านี้เป็นโครงการที่ชาวบ้านเห็นว่าจะมีประโยชน์อย่างแท้จริง เป็นโครงการที่มาจากความต้องการของชุมชน เป็นการกำหนดจากล่างขึ้นบน โดยมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ สนับสนุนองค์ความรู้ และวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซม และประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐที่เป็นผู้ดูแลแหล่งน้ำเหล่านี้เพื่อให้ชาวบ้านเข้าซ่อมแซมได้
เขายังได้กล่าวทิ้งท้ายว่าโลกในอนาคตจะมีลักษณะ "VUCA" (Volatile - ผันผวน, Uncertain - ไม่แน่นอน, Complex - ซับซ้อน, Ambiguous – คลุมเครือ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง และผลกระทบในแต่ละพื้นที่จะต่างกัน ดังนั้น หน่วยงานภาครัฐจึงต้องทำงานในลักษณะล่างขึ้นบนมากขึ้น ไปในทิศทางของ decentralization และต้องทบทวนการแบ่งบทบาทระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่นเพื่อให้สอดคล้องกับความท้าทายของอนาคต