กางแผน ไทยเบฟ ขยายอาณาจักรหลังโควิด-19 ธุรกิจจะเติบโตแข็งแกร่งกว่าเดิม
"ฐาปน สิริวัฒนภักดี"พร้อมนำทัพ "ไทยเบฟ" รักษาการเติบโตธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในตลาดอาเซียนอย่างมั่นคงและยั่งยืน เชื่อการปรับตัว หนุนองค์กรแกร่งกว่าเดิม
ฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีความต่อเนื่องมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต และระบบเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้ทุกธุรกิจต้องมีการตื่นตัวและมีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อวางแผนรับมือกับวิถีใหม่ในยุค New Normal ไปพร้อมกับการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้ การเตรียมความพร้อมเคลื่อนธุรกิจเป็นเรื่องสำคัญ ทุกวันนี้ทุกคนรับมือและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างเต็มความสามารถ ไทยเบฟ ได้ทำหน้าที่อย่างดีสุดในฐานะที่ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มและอาหารครบวงจรเพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ แม้ว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสที่มีการปิดช่องทางการจัดจำหน่ายที่สำคัญ
ทว่า การปรับแผนธุรกิจ การดำเนินงาน และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ 9 เดือน บริษัทมีกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีกำไรก่อนหักภาษี (Ebitda)เติบโต 11.5%เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน คิดเป็น 36,638 ล้านบาท และยังคงเป็นบริษัทเครื่องดื่มและอาหารที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน รวมทั้งเป็นบริษัทในอาเซียนบริษัทเดียวที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของเอเชียในด้านรายได้และมูลค่าทางการตลาดหรือมาร์เก็ตแคป
นอกจากนี้ การเตรียมความพร้อมและปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ บริษัทจึงมุ่งขับเคลื่อนองค์กรสู่ PASSION 2025 กับก้าวที่แข็งแกร่งกว่าเดิมเพื่อครองความเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนที่มั่นคง และยั่งยืน Stable & Sustainable ASEAN Leader
สำหรับกลยุทธ์หลักผลักดันสู่ Passion 2025 ประกอบด้วย 1. BUILD (สรรสร้างความสามารถ) คือ สรรสร้างความสามารถและโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ด้วยการต่อยอดจากพื้นฐานธุรกิจที่มีอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ตลาดโลกที่ให้ความใส่ใจในด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกิจและมองหาตลาดใหม่ๆ 2.STRENGTHEN (เสริมแกร่งความเป็นหนึ่ง) คือการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก เพื่อรักษาและก้าวสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน โดยเน้นการทำงานร่วมกัน 3.UNLOCK (สุดพลังศักยภาพไทยเบฟ) คือ นำศักยภาพของไทยเบฟมีอยู่มาก่อให้เกิดมูลค่าสูงสุด รวมถึงการนำทรัพยากรต่างๆ เช่น ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่มาพัฒนาศักยภาพ และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
ประภากร ทองเทพไพโรจน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา รองผู้บริหารสูงสุด การเงินและบัญชีกลุ่ม และผู้บริหารสูงสุดด้านการเงินและบัญชี ธุรกิจต่างประเทศ กล่าวว่า “ปีนี้ยังคงเป็นปีที่ท้าทายจากสถานการณ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกและส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจ โดยกลุ่มธุรกิจสุราใยังคงมีความแข็งแกร่ง จากความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ซึ่งตอบรับกับการบริโภคที่บ้าน
ทั้งนี้ รวงข้าว สุราขาวยังครองอันดับ 1 ในประเทศไทย สุราสีหงส์ทองเบอร์ 1 ในตลาด ได้ปรับบรรจุภัณฑ์ขนาด 350 มล. และ 700 มล. ยกระดับภาพลักษณ์ให้หรูหราและทันสมัยมากขึ้น แสงโสมยอดขายเติบโตกว่า 13% เบลนด์ 285 ซิกเนเจอร์ เติบโต 26% เมอริเดียนบรั่นดีเติบโต 39% คูลอฟ วอดก้า เติบโตและมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 32%
ส่วนแกรนด์รอยัลกรุ๊ป เป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดของตลาดวิสกี้ในประเทศเมียนมา ยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งประกอบกับมีเสถียรภาพของกระแสเงินสด
เลสเตอร์ ตัน ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปี 2564 เป็นอีกหนึ่งปีที่ “เบียร์ช้าง” ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านการตลาด แม้ว่าจะต้องประสบกับสถานการณ์ความท้าทายต่าง ๆ ที่ยากจะคาดการณ์ แต่กลุ่มธุรกิจเบียร์ ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ ส่งผลให้ผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ ท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจเบียร์ได้ริเริ่มและดำเนินการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้สามารถดำเนินงานในโรงงานผลิตเบียร์ได้อย่างราบรื่น ซึ่งรวมถึงการรองรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนมา ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่บ้านเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเพิ่มบริการจัดส่งถึงบ้าน และริเริ่มนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาปรับใช้เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างแข็งแกร่ง
ส่วนธุรกิจเบียร์ในประเทศเวียดนามเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าด้วยการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตอย่างคุ้มค่าในประเทศไทย ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนผลการดำเนินงาน ได้แก่ การบริหารตลาดแบบเจาะรายพื้นที่ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง Transformation และการจัดการทรัพยากรให้ดียิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ธุรกิจการส่งออกและกลุ่มตลาดต่างประเทศของกลุ่มธุรกิจเบียร์ ได้มีการยกระดับการขายโดยตั้งเป้าไปที่การขายและการกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งพร้อมการบริหารเรื่องต้นทุนอย่างเข้มงวด โดยการบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการที่ดีเยี่ยม รวมถึงการมีทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลงส่งผลให้กลุ่มธุรกิจเบียร์ขับเคลื่อนไปสู่ผลสำเร็จที่น่าพอใจท่ามกลางสภาวะตลาดที่มีความท้าทายและไม่เอื้ออำนวยในปัจจุบัน
ส่วนธุรกิจเบียร์ภายใต้บริษัท ไซง่อน เบียร์-แอลกอฮอล์-เบฟเวอเรจ คอร์ปอเรชั่น (ซาเบโก้) ปี 2564 ยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับซาเบโก้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในเวียดนาม และการปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมที่เข้มงวดทั้งประเทศ ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต การทำงาน และการดำเนินธุรกิจ รวมถึงอุตสาหกรรมเบียร์
ทั้งนี้ซาเบโก้ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ มีการดูแลความปลอดภัย และสวัสดิภาพของตัวแทนขาย ผู้สนับสนุน การขาย รวมถึงพนักงานในโรงเบียร์และฝ่ายผลิต
ด้านการลงทุนในด้านภาพลักษณ์และการรับรู้ของตราสินค้าที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนในด้านภาพลักษณ์และการรับรู้ของตราสินค้าผ่านป้ายโฆษณา ป้ายร้านค้า และการเป็นผู้สนับสนุนทางการตลาด บริษัทได้ขยายพื้นที่และเพิ่มป้ายโฆษณาของ Bia Saigon Chill ในสถานที่สำคัญทั่วประเทศ เพื่อโปรโมทผลิตภัณฑ์ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ รวมถึงเปิดตัวป้ายร้านค้ารูปแบบใหม่ สำหรับ Bia Saigon Chill, Bia Saigon Special, Bia Saigon และ Lac Viet และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Bia Saigon
"ในฐานะตราสินค้าที่เป็นความภาคภูมิใจของเวียดนาม บริษัทภูมิใจที่ได้ให้การสนับสนุนฟุตบอลทีมชาติเวียดนาม บริษัทยังเปิดตัวแคมเปญ Stronger Together ในช่วงวันชาติเวียดนาม โดยวางจำหน่ายเบียร์กระป๋องรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น และสินค้าแฟชั่น ที่ออกแบบโดยศิลปินในประเทศ"
ความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน ถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของซาเบโก้ มาโดยตลอด โดยเริ่มดำเนินการเชิงรุกเพื่อปรับปรุงการขายและเพิ่มความสามารถของพนักงานขาย เนื่องจากบริษัทตระหนักดีว่า ความเป็นมืออาชีพของพนักงานขายและตัวแทนจำหน่าย ถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้นเราจึงเริ่มนำระบบ Sales Force Automation (SFA) และ Distributor Management System (DMS) มาใช้ในบริษัทเทรดดิ้งทั้งหมด นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้วที่บริษัทได้เปิดตัว ซาเบโก้ 4.0 ซี่งเป็นโครงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์และดิจิทัลของกลุ่มในระยะ 3 ปี
"เราได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลงนอกจากนี้ บริษัทยังคงมองหาแนวทางในการลดต้นทุนอย่างสม่ำเสมอ
โดยได้เพิ่มประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานและวัตถุดิบในกระบวนการผลิตเบียร์ ผ่านการจัดซื้อวัตถุดิบร่วมกันและจัดตั้งระบบศูนย์กลางของชิ้นส่วนอะไหล่เครื่องจักรของโรงเบียร์ต่าง ๆ ตลอดจนการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น”
โฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (ประเทศไทย) ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มบริหารช่องทางการจำหน่าย ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง และรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายพัฒนาความเป็นเลิศ กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจของกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อน เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จของ PASSION 2025 พร้อมเดินหน้า ‘ก้าว-แกร่ง-กว่าเดิม’ มุ่งเป้าดันธุรกิจให้เติบโตสู่ระดับสากล
ทั้งนี้ ปี 2564 โควิด-19 เป็นความกดดันและเป็นตัวเร่งให้ทุกภาคส่วนต้องปรับตัว ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการห้ามบริโภคภายในร้านอาหารเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อเนื่องให้กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ต้องปรับเปลี่ยนแนวทางในการบริหารจัดการ รวมถึงการให้บริการกับร้านค้า
สำหรับ 9 เดือนแรก(ปีงบประมาณ ต.ค.63-ก.ย.64) ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 11,688 ล้านบาท ลดลง 6.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่บริษัทยังคงบริหารต้นทุนอย่างระมัดระวังด้วยการลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและส่งเสริมการขาย ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้ช่วยให้ธุรกิจ Ebitda 1,629 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.2%
ส่วนการทำตลาด บริษัทปรับรูปแบบการขายมุ่งเน้นร้านค้าปลีก ร้านค้าในชุมชนมากยิ่งขึ้น บริษัทหันมามุ่งเน้นการขายที่ช่องทางร้านค้าปลีกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านค้าปลีกในบริเวณแหล่งชุมชนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ทำงานที่บ้านสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของบริษัทในร้านค้าใกล้บ้านได้โดยสะดวก ไม่จำเป็นต้องออกไปนอกพื้นที่ ที่อาจเกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย ผสานการทำงานให้รวดเร็ว และคล่องตัวด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มประสิทธิภาพการขาย SERMSUK CAMP ช่วยให้พนักงานขายสามารถทำงานผ่านแท็บเล็ต ที่ย่อข้อมูลการขายทั้งหมดที่จำเป็น อยู่เพียงแค่ปลายนิ้ว
โดย SERMSUK FAMILY ทำให้บริษัท สามารถให้บริการร้านค้าได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณขายในช่องทางร้านค้าปลีกเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพเพื่อสุขภาพ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายตอบความต้องการของผู้บริโภค เช่น ลุยตลาดน้ำดื่มภายใต้แบรนด์คริสตัล ส่งเครื่องดื่ม วีบูสท์ วิตามินซี 200 % ผสมเบต้ากลูแคน รวมถึงเครื่องดื่มชาเขียวโออิชิ พลัสซี เกาะกระแสเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เป็นต้น
นงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุดสายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจอาหารมีการปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง โดยในปีที่ผ่านมาได้ปรับรูปแบบธุรกิจให้ตอบโจทย์ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1. Driving Brand Penetration & Accessibility เพื่อเป็นการขยายช่องทางการเพิ่มรายได้ให้ได้มากที่สุด ในปีที่ผ่านมาเรามีการเปิดขยายสาขาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่นอกห้าง เพิ่มขึ้น 24 สาขา วันนี้เรามีสาขาทั้งหมดรวม 673 สาขา (ณ 30 ก.ย. 2564) รวมทั้งเปิดรถจำหน่ายอาหารเคลื่อนที่ Food Truck อีกจำนวน 10 คันเพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น
2. Driving the Delivery Channel โดยพัฒนาแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ของเราเอง ประกอบกับขยายช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านพันธมิตรทั้ง Food Aggregator และ E-Marketplace ส่งผลให้ช่องทางเดลิเวอรี่เติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 3.Digital & Technology ให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ส่วนปี 2565 กลุ่มธุรกิจอาหารจะขับเคลื่อนภายใต้กลยุทธ์หลัก อันได้แก่ 1. Drive Brand Penetration & Accessibility ขยายสาขาในรูปแบบที่เหมาะกับสถานการณ์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึง Food Truck และร้านแบบ To go 2. Grow Off-Premise Channels เสริมแกร่งและขยายช่องทางการขายนอกสถานที่ 3. Digitize Customer Engagement สร้างความผูกพันกับลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัล 4. Innovation นำนวัตกรรมมาสร้างประสบการณ์ใหม่เพิ่มความสะดวกสบาย ความปลอดภัยให้กับลูกค้า และ 5. Sustainability ดำเนินธุรกิจตามแนวคิดด้านความยั่งยืนด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม”
เอกพล ณ สงขลา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มทรัพยากรบุคคล ฉายภาพ ไทยเบฟ ปลูกฝังแนวความคิด ก้าวแกร่งกว่าเดิม ส่งเสริมให้พนักงานปรับตัวและปรับเปลี่ยนทักษะการทำงานให้ก้าวเคียงคู่องค์กรท่ามกลางความท้าทาย ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีพนักงานกว่า 46,000 คนในประเทศและ 62,000 คนทั่วโลก
ทั้งนี้ ตลอดปี 2564 บริษัทปรับแนวทางการทำงานให้ปลอดภัย เพิ่มความคล่องตัว เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการแก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องทุกๆ วัน ทุกคนร่วมผสานพลัง เพื่อลดความกังวลใจของเพื่อนพนักงาน เช่น จัดให้มีระบบลงทะเบียนดิจิทัลทุกวันเพื่อความปลอดภัยแก่พนักงานและคนรอบข้าง การจัดทำประกันภัยความเสี่ยงจากโรคโควิด-19 ให้แก่พนักงานทุกคน ทุกตำแหน่งงาน การจัดให้มีสายด่วน 24 ชั่วโมง ดูแลเรื่องต่างๆ ร่วมสร้างสรรค์ครอบครัวและสังคมให้ปลอดภัย โดยการสนับสนุนการฉีดวัคซีนร่วมกับภาครัฐรวมถึงวัคซีนทางเลือก
นอกจากนี้ กลุ่มไทยเบฟ ผลักดันแนวความคิดโอกาสไร้ขีดจำกัดในมิติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ศักยภาพคนรุ่นใหม่ ซึ่งปีนี้โครงการ ThaiBev ASEAN Internship Program มีผู้สนใจเข้าร่วมกว่าหนึ่งพันคนทั่วอาเซียน สะท้อนถึง ความเป็นหนึ่งในบริษัทไทยที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุดจากการสำรวจของ HR Asia และ Work Venture ครั้งล่าสุด