ส.นักวิเคราะห์ เปิดผลสำรวจIAA Survey คาดหุ้นไทยไตรมาส4/64ลุ้นแตะ1,675 จุด

ส.นักวิเคราะห์ เปิดผลสำรวจIAA Survey คาดหุ้นไทยไตรมาส4/64ลุ้นแตะ1,675 จุด

สมาคมนักวิเคราะห์ เผย ผลสำรวจนักวิเคราะหเคาด ดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้1,648 จุด ประเมินการลงทุนไตรมาส4/64 ได้ปัจจัยหนุนไทยคืบหน้าฉีดวัคซีน-เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวมีโอกาสดัชนีทำจุดสูงสุด 1,675 จุด แต่ถูกกดดันเฟดลด QE -การเมืองในประเทศ พร้อมคาดดัชนีปีหน้า 1,754 จุด

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน (IAA Survey)รวม 27 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส4ปี  2564  ว่า คาดการณ์ดัชนีหุ้นไทย ในช่วงไตรมาส 4 ของปี2564 จะแกว่งตัวในกรอบ 1,565 - 1,675 จุด และคาดว่าจะปิดสิ้นปีที่ 1,648 จุด และคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2565 จะปิดที่ 1,754 จุด

ทั้งนี้ทิศทางการลงทุนในไตรมาส 4 ปีนี้ จะได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ แนวโน้มความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนในไทย มีผู้โหวตท่วมท้น 96% ตามมาด้วย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก มีผู้โหวตสูงถึง 70%

      ส่วนปัจจัยด้านลบ มาจาก ท่าทีการเตรียมลดมาตรการQEทั่วโลก มีผู้โหวต 92% และ ตามติดมาด้วย ปัจจัยการเมืองในประเทศด้วยเสียงโหวต 85% แถมด้วย แนวโน้มการจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯเร็วขึ้นกว่าคาดเดิม มีเสียงโหวต 63%

      ส่วนคาดการณ์GDP ไทยปี 2564 ได้ปรับลดเหลือเฉลี่ย 0.68% เทียบกับการสำรวจเมื่อกลางปีที่ 2.11%  แต่คาดว่าจีดีพีปี 2565 จะเติบโตที่ 3.67% ขณะที่เพิ่มสมมุติฐาน ด้านราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเป็น 68.54 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ในครั้งก่อนใช้ตัวเลขเพียง 64.96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

ผลสรุปยังคาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย น่าจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดปีนี้ และปีหน้า

ส่วนทางด้านผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนปี 2564 เฉลี่ยที่ 82.08 บาทต่อหุ้น เป็นการเติบโต 69.50% จากปีก่อน และตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ สูงขึ้นกว่าการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 80.87 บาทต่อหุ้น ขณะที่ ข่าวดีอยู่ที่ปี 2565 ที่นักวิเคราะห์คาดว่า กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มเป็น 92.49 บาทต่อหุ้น เติบโต 12.73%

 

นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

  • เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 12.20%
  • กองทุนตราสารหนี้ 16.80%
  • หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 28.80%
  • หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 25.88%
  • กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 8.04%
  • ทองคำหรือกองทุนทองคำ 5.96%
  • อื่นๆ 2.32%

 

สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยในไตรมาสที่ 4 นั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจ พาณิชย์ ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจพลังงาน โรงพยาบาล และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

รายชื่อหุ้นเด่นที่แนะนำ คือ AOT BEM CPALL KBANK

ส่วนหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยง คือ หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางบริษัทที่เคยวิ่งขึ้นกว่า 1,000% ในปีก่อน

ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไปยังรัฐบาล ได้แก่ การเร่งฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อการเปิดเมือง การช่วยเหลือภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และ สนับสนุนการผู้ประกอบการรายย่อย SMEs การให้สินเชื่อพิเศษ นอกจากนั้น ควรมีนโยบายให้การช่วยเหลือประชาชน พร้อมเป็นการกระตุ้นการจับจ่าย โดยให้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ รวมทั้งการให้สิทธิภาษีสนับสนุนการลงทุนใน LTF