โควิด19กระทบความเชื่อมั่นผู้บริโภค ชะลอ-พับแผนซื้อบ้าน/คอนโด
เทอร์ร่า บีเคเค เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการซื้ออสังหาฯช่วงโควิดคนส่วนใหญ่กว่า 78% กังวลปัญหาเศรษฐกิจ –โรคระบาดที่อาจรุนแรงมากขึ้น กระทบความเชื่อมั่นในการซื้ออสังหาฯ ชะลอหรือเลื่อนแผนการตัดสินใจซื้อออกไปอย่างไม่มีกำหนด คาด 5ปีเศรษฐกิจฟื้น
นางสาวสุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวว่า TerraBKK ได้สำรวจ “ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ช่วงโควิด-19” จากแบบสอบถามออนไลน์ จากกลุ่มตัวอย่าง 430 คน อายุ 20 ถึง มากกว่า 60 ปี ระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึงสิงหาคม 2564 พบว่า ในช่วงที่โควิด-19 มีการแพร่ระบาดหนัก ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความกังวลและขาดความเชื่อมั่น กระทบต่อพฤติกรรมการซื้ออสังหาฯ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่กว่า 66% เห็นว่าโควิด-19 ระลอกนี้มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออสังหา และจำเป็นต้องเลื่อนหรือชะลอการตัดสินใจซื้อออกไปก่อน, 22% เห็นว่าโควิด-19ไม่มีผลกระทบ โดยยังคงตัดสินใจซื้ออสังหาอยู่ และอีก 12% ระบุว่าโควิด-19 มีผลกระทบ ทำให้เปลี่ยนใจไม่ซื้ออสังหาฯ แล้ว
ซึ่งบ้าน-คอนโดฯ ในกลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท และกลุ่มราคา 3 - 5 ล้านบาท เป็นสินค้าที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ ระบุว่าต้องการเลื่อนการซื้อออกไปก่อน ส่วนกลุ่มระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 43% ยังคงตัดสินใจซื้ออสังหาฯในช่วงนี้ แสดงให้เห็นว่าบ้านกลุ่มลักชัวรี่ยังสามารถไปต่อได้ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
เมื่อมาดูในรายละเอียด พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม กว่า 78% ที่คิดว่าโควิด-19 มีผลต่อการซื้ออสังหาฯในช่วงนี้ ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังคงมีความกังวลด้านเศรษฐกิจ, ความกังวลต่อสถานการณ์โรคระบาด ที่อาจรุนแรงมากขึ้น, การงานและรายได้ที่ไม่มั่นคง, จำเป็นต้องเก็บเงินสดไว้ก่อน และปัญหารายได้ที่ลดลง โดยคาด ว่า อีก5ปีเศรษฐกิจฟื้น
ส่วนกลุ่มที่เห็นว่าโควิด-19 ไม่มีผลกระทบกับการซื้ออสังหาฯ ราว 22% เห็นว่าช่วงนี้เป็นโอกาสดี จากหลายปัจจัยบวก อาทิ ราคาอสังหาฯลดลดทำให้น่าซื้อ, ทำเลดีที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต, มีความจำเป็นต้องซื้อที่อยู่อาศัย, โปรโมชั่นดี ฟรีค่าใช้จ่ายและของแถมต่างๆ, อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ
ทั้งนี้การแพร่ระบาดของโควิด - 19 มีผลต่อพฤติกรรมการซื้ออสังหาฯ ในทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท และกลุ่มราคา 5-10 ล้านบาท ที่ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าต้องมีการปรับลดงบประมาณการซื้อบ้านลง รวมถึงมองหาโครงการจากผู้พัฒนาอสังหาฯที่เชื่อถือได้ ที่มีการจัดโปรโมชั่นเยอะ ๆ บนทำเล นอกเมือง ส่วนกลุ่มราคามากกว่า 10 ล้านบาท ในช่วงนี้ส่วนใหญ่ต้องการบ้านพักตากอากาศต่างจังหวัด, เปลี่ยนจากคอนโดฯเป็นบ้านแนวราบ และต้องการขยับทำเลเข้ามาใกล้เมืองมากขึ้น
โดยปัจจัยสำคัญที่ลูกค้าใช้พิจารณาในการซื้ออสังหาฯช่วงนี้ ในทุกกลุ่มส่วนใหญ่เห็นว่า การออกแบบพื้นที่ที่เน้นความเป็นส่วนตัวของทุกคนในครอบครัว, ฟังก์ชั่นการใช้งานในบ้านหรือพื้นที่ส่วนกลางต้องตอบโจทย์ได้ดีในช่วง WFH, มีพื้นที่ทำอาหารที่กว้างขึ้น, ระบบระบายอากาศภายในบ้านต้องรองรับการใช้งานได้ดี, มีพื้นที่สีเขียว, มีนวัตกรรมหรือระบบ Home Automation ภายในบ้าน และที่สำคัญโครงการจะต้องมีบริการหลังการขายที่ดีจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้
อย่างไรก็ดีหลังจากคลายล็อกดาวน์ ผู้บริโภคเริ่มส่งสัญญาณบวก มีความมั่นใจในการจับจ่ายมากขึ้น ซึ่งช่วงนี้นับเป็นโอกาสดี ที่ผู้ประกอบการนำสินค้ามาจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นควมต้องการซื้อของลูกค้าได้มากขึ้น
นางสาว สุมิตรา กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ข้อมูลล่าสุดจาก Terra Byte พบว่า ราคาเปิดใหม่ของโครงการแนวราบเติบโตขึ้นเฉลี่ย 7% ต่อปี ขณะที่สัดส่วนของตลาดลักชัวรี่ เพิ่มขึ้นเป็น 33% ของตลาด โดยมีราคาเฉลี่ยที่ 12 ล้านบาท ซึ่งโซนกรุงเทพฯรอบนอก-ปริมณฑล เป็นทำเลยอดนิยมของแนวราบ มีอัตราการดูดซับสูงสุดที่ 5.6 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ โดย 5 โซนยอดนิยม คือ หนองจอก, พระสมุทรเจดีย์, เมืองสมุทรปราการ, บางใหญ่ และบางพลี ทั้งนี้โซนบางนา ยังคงครองแชมป์โครงการแนวราบเปิดตัวใหม่สูงที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2564
นางสาวสุมิตรา กล่าว นับตั้งแต่ปี 2564 เริ่มเห็นแนวโน้มการซื้อที่อยู่อาศัยจะเปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมผู้บริโภค โดยคนส่วนใหญ่จะหันมาให้ความสำคัญกับพื้นที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์รอบด้าน อาทิ การผสมผสานพื้นที่สีเขียวให้เข้ามาอยู่ภายในตัวบ้านทุกส่วนได้อย่างกลมกลืน ตามกระแสการปลูกต้นไม้ในตอนนี้
รวมถึงการสร้างระบบนิเวศภายในโครงการเพื่อผู้อยู่อาศัยในทุกช่วงวัย เช่น กลุ่มคนทำงานต้องการพื้นที่ทำกิจกรรมทั้งภายในบ้าน – พื้นที่รอบบ้าน, กลุ่มผู้สูงอายุ ต้องเพิ่มการใช้ระบบ IOT มีนวัตกรรมภายในบ้านเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกสบายมากขึ้น และต้องให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นปรับระบบไฟฟ้าส่องสว่างภายในที่พักอาศัยโดยเฉพาะห้องทำงานและห้องนอน เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตอยู่ภายในที่พักอาศัยตลอด 24 ชั่วโมง เหล่านี้นับเป็นเทรนด์ที่ผู้พัฒนาต้องให้ความใส่ใจมากขึ้น เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยที่มีความสมดุล