FETCO ชี้ "ต่างชาติ" จ่อซื้อหุ้นไทยโค้งท้ายปีนี้เกิน 2 หมื่นล้าน
"เฟทโก้" เชื่อ เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทย ไตรมาส 4 /64 มากกว่า 2 หมื่นล้าน อานิสงส์เปิดเมือง ดันเศรษฐกิจฟื้นตัว หนุนดัชนีเทรนด์ขาขึ้น คาดปีหน้าแตะ 1,800 จุด ด้านดัชนีเชื่อมั่น 3 เดือนข้างหน้า (ธ.ค. 64) ลดลง 1.1% อยู่ที่ 142.71 จุด แต่ยัง "ร้อนแรง"
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO เปิดเผยว่า คาดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ มีโอกาสไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากกว่าในช่วงเดือนส.ค.และเดือนก.ย.ที่ผ่านมาจนถึงต้นเดือน ต.ค.นี้ เป็นยอดซื้อสะสมต่อเนื่องราว 2 หมื่นล้านบาท จากตั้งแต่ต้นปีที่เป็นไหลออกไปกว่า 1 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ปัจจัยหนุนฟันด์โฟลว์ไหลกลับ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ต่ำกว่าศักยภาพ เงินเฟ้อยังต่ำ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ไม่จำเป็นขึ้นดอกเบี้ย ยังขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ทิศทางค่าเงินบาทที่ยังอ่อนค่าต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลดีต่อภาคการส่งออก รวมถึงตลาดหุ้นไทยยังมีหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นเปิดเมือง ซึ่งเป็นเป้าหมายนักลงทุนทั่วโลกที่กำลังมองหาหุ้นกลุ่มดังกล่าวอยู่
“ฟันด์โฟลว์ต่างชาติเริ่มไหลเข้ามาตั้งแต่เดือน ส.ค. เป็นเดือนแรกและเพิ่มขึ้นในเดือนก.ย. และในช่วงต้นเดือน ต.ค. มานี้ยังซื้อสะสมต่อเนื่อง เชื่อว่าช่วง 3 เดือนสุดท้ายปีนี้น่าจะเป็นยอดซื้อสุทธิอยู่ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนน่าจะมีเงินไหลกลับเข้ามาต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนต่างชาติจะดูการฟื้นตัวของตัวเลขนักท่องเที่ยวและภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก ”
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ส่วนตัวคาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ยังมีเซนติเมนต์เชิงบวกมากกว่าลบ และเป็นขาขึ้นยาว ต่อเนื่องถึงปี2565 ซึ่งส่วนตัวคาดว่าดัชนีปีหน้ามีโอกาสแตะ 1,800 จุด จากการกระจายฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ดีขึ้น เป็นนโยบายเชิงรุกมากกว่าเชิงรับและมีโอกาสเป็นไปตามแผนที่รัฐบาลวางไว้ได้ การเปิดประเทศในเดือน พ.ย.จะทำให้ภาวะเศรษฐกิจและท่องเที่ยว เริ่มกลับมาฟื้นตัว
ส่วนสิ้นปีนี้คาดดัชนีอยู่ที่ 1,650 จุด แต่ก็ขึ้นอยู่ปัจจัยหนุนดังกล่าวจะผลักดันเศรษฐกิจไปได้ดีแค่ไหน ขณะที่ความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นปรับฐาน คือ การต้องกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกรอบเมื่อยอดผู้ติดเชื้อสูงขึ้นจนคุมไม่ได้
ขณะที่ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index)ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ธ.ค. 2564) ปรับตัวลดลง 1.1% มาอยู่ที่ระดับ 142.71 จากช่วงเดือนก่อน แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” โดยนักลงทุนคาดหวังแผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 เป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมา คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และ เงินทุนไหลเข้า
ส่วนปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด คือ สถานการณ์ระบาดของโควิด-19ระลอกปัจจุบัน รองลงมา คือ ผลการประชุมอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ยังคงอยู่ในระดับ “ร้อนแรงอย่างมาก” ในขณะที่นักลงทุนบุคคล และ กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงอยู่ในระดับ “ร้อนแรง” และ นักลงทุนต่างชาติปรับลงมาสู่ในระดับ “ร้อนแรง” เช่นกัน ขณะที่หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพาณิชย์ (COMM)และหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดแฟชั่น (FASHION)