หุ้นเอสวีที’เปิดแผนธุรกิจ ขยายตลาดในและตปท.
การหาพันธมิตรทางการค้าการขายแฟรนไชส์เครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ และขยายบริการเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติสู่ตลาดอาเซียน ช่วยหนุน หุ้น ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SVTเข้าซื้อขายวันแรก (5 ต.ค.2564) อยู่ที่ 2.88 บาท เพิ่มขึ้น 13.39% จากราคาไอพีโอ 2.54 บาท
ด้วย “จุดเด่น” ของSVT เป็นผู้บุกเบิกธุรกิจค้าปลีกขายสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติในไทย โดยปี 2563 มีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์)ระดับ 44% ถือเป็นผู้นำอันดับ 1 ของไทยและยังมีความได้เปรียบผู้ประกอบการรายอื่น จากการมีโรงงานปรับปรุงสภาพและประกอบ ที่มีศักยภาพและทีมวิจัยที่พัฒนารูปแบบเครื่องที่หลากหลาย
“พิศณุ โชควัฒนา” กรรมการรองผู้อำนวยการสายงานการผลิต บริษัท ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SVT ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) ภายใต้แบรนด์SUN Vendingให้สัมภาษณ์พิเศษ “หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หลังบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) แล้ว โดยแผนธุรกิจ 3 ปีข้างหน้า (2564-2566) ตั้งเป้าหมายขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง...
โดย“ตลาดในประเทศ”บริษัทมีแผนการที่จะขยายสาขาเพิ่มเติมอีก 3 สาขาในภาคเหนือ,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ตามลำดับ รวมถึงบริษัทมีเป้าหมายที่จะติดตั้งให้บริการเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติให้ครบ 20,000 เครื่องและเป็นเครื่องอัตโนมัติประเภทที่รองรับเงินสดและการชำระผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์หรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ (Cashless) หรือตู้ Smart จำนวน 15,000 เครื่องภายในปี
รวมทั้งการขยายติดตั้งเครื่องอัตโนมัติด้วยโมเดลธุรกิจใหม่ในรูปแบบแฟรนไชส์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และพัฒนาตู้ปัจจุบันที่ยังเป็นรููปแบบธรรมดา ให้เป็นรูปแบบสมาร์ทในระดับ 75% ซึ่งปัจจุบันมีรูปแบบตู้สมาร์ทเพียง 10% ของตู้ทั้งหมด ดังนั้น SVT ยังมีศักยภาพในการเติบโตต่อไปได้อีกมา
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะใช้เครื่องจำหน่ายสินค้าแบบ Smart เพื่อขายสื่อโฆษณาผ่านจอ LCD หน้าเครื่อง เป็นการเพิ่มรายได้อีกช่องทาง และการพัฒนาสินค้าที่เป็นแบรนด์สินค้าของ SVT สำหรับจำหน่ายผ่านเครื่องอัตโนมัติของบริษัท เพื่อเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายสินค้า
“เป้าหมายที่จะติดตั้งให้บริการเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติให้ครบ20,000 เครื่องภายใน2 ปีข้างหน้า จะทำให้ SVT ยังเป็นผู้นำอันดับ 1 ของไทยอยู่”
สำหรับการขยาย“ตลาดต่างประเทศ”บริษัทมีแผนขยายไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนโดยเฉพาะใน CLMV(สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมา และเวียดนาม)ซึ่งคาดว่าจะไปประเทศเวียดนามเป็นประเทศแรก ในลักษณะร่วมกับพาร์ทเนอร์ คาดได้เห็นภายใน 2 ปีนี้ ซึ่งตอนนี้กำลังเจรจาพันธมิตรอยู่ แต่ติดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องเลื่อนออกไป
โดยในประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมาก และมีการเติบโตของเศรษฐกิจ จึงเป็นประเทศที่มีโอกาสในการเติบโต โดยหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเโควิด-19 บริษัทก็พร้อมที่จะเข้าไปขยายได้ทันที
“คิดว่าภายใน 2 ปีนี้คงจะไป ถ้าสถานการณ์โควิดดีขึ้นก็เดินหน้าต่อ ที่เลือกเวียดนามเพราะมองอนาคตเศรษฐกิจเวียดนามโตได้มากกว่ากัมพูชา หรือ สปป.ลาว และภาคอุตสาหกรรมในเวียดนามยังเติบโตได้อีกมาก”
โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2565 เติบโตไม่น้อยกว่า 25% ตามแผนขยายตู้เพิ่ม และขยายสาขา รวมถึงโมเดลธุรกิจใหม่ในรูปแบบแฟรนไชส์ การเพิ่มโฆษณาต่างๆ และมีอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 5% จากปี 2564 คาดรายได้2,000 ล้านบาทโดยไตรมาส 4 ปี 2564 หลังรัฐคลายล็อกดาวน์ทำให้พื้นที่เปิดมียอดขายกลับคืนมาทำให้รายได้เติบโตตามเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบริษัทมีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญมายาวนานกว่า 20 ปี มีโรงงานผลิตประกอบเป็นของตนเอง และมีเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ติดตั้งให้บริการมากกว่า13,884 เครื่อง ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการ 26 จังหวัด ผ่านศูนย์กระจายสินค้าและดูแลรักษาเครื่อง VM รวม 11 สาขา ทำให้บริษัทมีสินค้าให้บริการถึงประมาณ 700 รายการ
ท้ายสุด “พิศณุ”กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า SVT จะเป็นหุ้นรีเทลเทคโนโลยี เป็นหุ้นเติบโตได้ดี (Growth Stock) รายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่ใช้เทคโนโลยีมาช่วย