ราคาพลังงานย่อตัวเป็นบวกต่อหุ้นโลก แต่อาจอาจทำให้หุ้นไทยผันผวน

ราคาพลังงานย่อตัวเป็นบวกต่อหุ้นโลก แต่อาจอาจทำให้หุ้นไทยผันผวน

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวหลังสหรัฐฯ มีโอกาสขยายเพดานหนี้ระยะสั้น หุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวหลังจากลงแรงหลังส.ส.ฝั่งรีพับริกันเสนอที่จะอนุมัติขยายเพดานหนี้ออกไประยะสั้นจนถึงธ.ค.

ช่วยลดแรงกดดันระยะสั้นต่อตลาด อย่างไรก็ตามเราไม่ได้กังวลมากนักกับการขยายเพดานหนี้ซึ่งปัจจุบันเป็นปัญหาในเชิงการเมืองมากกว่าเป็นปัญหาจริง เนื่องจากเดโมแครตสามารถผ่านกฎหมายขยายเพดานหนี้ด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว อิงจากจำนวนเสียงโหวต ส.ส.เกินครึ่ง (220 จาก 435) ขณะที่ส.ว.แม้มีเสียงกึ่งหนึ่ง (48+อิสระ 2 จากทั้งหมด 100) แต่รองประธานาธิปดีในฐานะประฐานวุฒิสภา สามารถชี้ขาดผลการลงคะแนนได้อยู่แล้ว เพียงแต่การที่เดโมแครตต้องการผลักดันเพดานหนี้ร่วมกับรีพับริกัน น่าจะเพื่อป้องกันการถูกกล่าวหาโจมตี ในการเลือกตั้งภายในปีหน้า 8 พ.ย.65 

ราคาพลังงานย่อตัวหลังมีข่าวรัสเซียจะส่งก๊าซให้ยุโรปเพิ่มขึ้น ก๊าซธรรมชาติ (-10%) ถ่านหิน (-10%) และราคาน้ำมันดิบ (1.90%) ย่อตัวลงวานนี้ หลังมีข่าวรัสเซียสัญญาจะส่งก๊าซให้ยุโรปเพิ่มเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติพลังงานในยุโรป ขณะเดียวกันการเตรียมเปิดท่อส่งก๊าซเส้นใหม่ Nord Stream 2 (ซึ่งวิ่งจากรัสเซียไปยังเยอรมนี) อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากทางฝั่งเยอรมนีเพื่อเปิดใช้งาน น่าจะช่วยลดแรงกดดันราคาพลังงานได้ในระดับหนึ่ง ราคาพลังงานที่ลดลงจะเป็นจิตวิทยาบวกต่อภาพรวมการลงทุนหุ้นโลกและลดความกังวลการเกิดภาวะเงินเฟ้อมาเศรษฐกิจไม่โต (Stagflation) อย่างไรก็ตามหุ้นไทย โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและถ่านหินอาจเคลื่อนไหวผันผวน นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังในหุ้นที่ปรับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

ปัจจัยติดตามที่สำคัญในระยะสั้น 1) การรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/64 กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ภายใน 20 ต.ค. ซึ่งภาพรวมของทั้งกลุ่มกำไรยังเติบโต YoY แต่จะชะลอตัวลง QoQ 2) การผ่านร่างกฎหมายเพื่อขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ภายใน 18 ต.ค. ซึ่งรมว.คลังสหรัฐฯ ย้ำถึงความเสี่ยงที่อาจก่อเศรษฐกิจถดถอยหากสามารถขยายเพดานหนี้ได้ทัน 3) รายงานเศรษฐกิจโลก (WEO) ฉบับต.ค. ที่ IMF มีกำหนดการเปิดเผยรายงาน 12 ต.ค. ซึ่งมีแนวโน้มจะเห็นการปรับประมาณการเศรษฐกิจโลก (GDP) ลง 4) สถานการณ์การเมืองในประเทศ ที่มีสัญญาณเลือกตั้งใหม่ หรืออาจมีการยุบสภา ภายใน 17 ต.ค.

ธีมการลงทุนระยะสั้น 1) กลุ่มโภคภัณฑ์ป้องกันเงินเฟ้อ PTTEP, PTTGC, IVL, TOP, BANPU 2) การเพิ่มเพดานหนี้เป็น 70% และแผนกู้เงินเพิ่ม จะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรขยับขึ้น ซึ่งบวกกับกลุ่มธนาคารและประกัน อาทิ BBL, KBANK, SCB, TIPH, THRE, BLA 3) หุ้นธีมเปิดเมืองยังน่าสนใจแม้อาจย่อจากมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการผ่อนคลายกทม.ที่น่าจะล่าช้าไปจาก 15 ต.ค. CPN, CRC, MINT, CENTEL, ERW, BA 4) เรามองทยอยสะสม สื่อสาร สาธารณูปโภค ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART, GULF, GPSC, EGCO, RATCH, EASTW, WHAUP, TTW 5) เก็งกำไรทางเทคนิค WIIK, FORTH, FSMART, TNP, TWPC, NER, HFT, BEC, CPI, TKS, SKN, MAJOR, CPN, ERW

ภาพรวมกลยุทธ์: ผันผวนในกรอบ 1,605 - 1,630 ขณะที่บรรยากาศเก็งกำไรโดยรวมคาดเป็นบวก แม้อาจมีแรงขายสลับทำกำไรระยะสั้นในกลุ่มพลังงาน //หุ้นแนะนำ: IVL*, CPN*, VPO*, SVI*

แนวรับ: 1,605-1,615/ แนวต้าน : 1,630-1,635 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%

 

ประเด็นการลงทุน

เกณฑ์คัดหุ้น SET50 ใหม่ - ตลท. เตรียมเผยเกณฑ์หุ้นที่ใช้คำนวณดัชนี SET50-100 รอบแรก คาดแจ้งภายในวันศุกร์นี้ ย้ำหุ้นตัวไหนติดแคชบาลานซ์ จะไม่นำช่วงเวลานั้นๆ มาคำนวณเกณฑ์สภาพคล่อง

ธปท.สั่งแบงก์ นอนแบงก์ ใช้ KYM พิสูจน์ร้านค้า - ธปท.ส่งหนังสือเวียนให้ธนาคารพาณิชย์ แบงก์รัฐ และนอนแบงก์ทุกแห่ง เรื่องแนวนโยบายการรู้จักและการบริหารติดตามความเสี่ยงร้านค้าสำหรับการรับชำระเงินด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ (KYM) เพื่อจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 65 เป็นต้นไป

รมว.ท่องเที่ยว ตั้งเป้ารายได้จากการท่องเที่ยวปี 65 ที่ 1.5 ล้านล้าน - ครึ่งหนึ่งของปี 62 โดยมาจากนักท่องเที่ยวในประเทศ 8.4 แสนล้านบาท และอีก 6 แสนกว่าล้านบาทมาจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยคาดว่าในปี 65 จะมีนักท่องเที่ยวในประเทศ 160 ล้านคน/ครั้ง ส่วนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 15 ล้านคน ซึ่งจะเน้นนักท่องเที่ยวที่มีรายจ่ายสูง

MAKRO – เตรียมขอมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 12 ต.ค. นี้ รับโอนกิจการกลุ่มโลตัสส์ในไทย-มาเลย์ คาดแล้วเสร็จภายในวันที่ 25 ต.ค. นี้ พร้อมเล็งขายหุ้นเพิ่มทุน PO ขยับฟรีโฟลตเพิ่มเป็นมากกว่า 15% จากเดิมอยู่ที่ 7% พร้อมมั่นใจเข้าคำนวณในดัชนี SET50 ได้

ประเด็นติดตาม: -  8 ต.ค.: US Employment Report

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)