ท๊อป จิรายุส เปิดมุมมอง ไฟแนนซ์เชียลแฟลตฟอร์ม ทางรอดธุรกิจโลกยุคใหม่
เมื่อไม่มีใครหยุดการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ และสภาพแวดล้อมที่กดดันจากวิกฤติโควิด -19 ทำให้ทุกคนหนีไม่พ้น ต้องเปลี่ยนไปสู่ “โลกยุคโหม่”
ผ่านมุมมอง “จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บิทคัพ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ บิทคับ(Bitkub) นักธุรกิจรุ่นใหม่วัย 31 ปี นับเป็นคนไทยกลุ่มแรกๆ ที่ปลุกปั้น “ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล” ในไทย
“จิรายุส” ชี้ให้เห็นเส้นทางแห่งโลกอนาคตของวงการการเงินว่า จุดเริ่มต้นของวงการการเงินไทยตั้งแต่ “ยุคไฟแนนซ์ 1.0” ที่ระบบการเงินเป็นสิ่งที่เราคุ้มชิน อย่างสาขาธนาคาร เครื่องนับเงิน ตู้เอทีเอ็ม
เมื่อไม่นานมานี้เริ่มเปลี่ยนแปลงมาสู่ “ยุคไฟแนนซ์ 2.0” ที่ระบบการเงินถูกดริสรับชั่นด้วยเทคโนโลยี ต้องเปลี่ยนมาสู้ระบบดิจิทัลแบงกิ้ง โมบายแบงกิ้ง พร้อมเพย์ เพื่อความอยู่รอดและวิกฤติโควิด-19 เป็นตัวเร่งพฤติกรรมคนไทยไปบนเส้นทางนี้ แต่ยังคงเป็นการสร้างระบบเทคโนโลยีบนความเชื่อเก่าที่ว่าเงินคือกระดาษอยู่
จนมาถึงตอนนี้ เรากำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งไปสู่ “ไฟแนนซ์ยุค 3.0” คือระบบการเงินในโลกอนาคต เอาตัวกลางออกจากระบบ เปลี่ยนความหมายของเงิน คือ เงินไม่ใช่กระดาษอีกต่อไป แต่จะเป็นดิจิทัลเต็มตัว ด้วยระบบบล็อกเชน
“จิรายุส” มองว่า ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า “ไฟแนนซ์ยุค 3.0” จะได้รับความนิยมอย่างมาก มาเปลี่ยนแปลงวงการการเงินอย่างที่เราคาดไม่ถึง นั่นคือ “ดิจิทัลแอสเซท” จะกลายมาเป็นกระดูกสันหลังหลักของวงการการเงิน ทำหน้าที่เป็นตัวประสานกลางในการแลกเปลี่ยนมูลค่าทุกชนิด ในสิ่งที่จับต้องได้และไม่ได้ของผู้คนทั่วโลก
"ดิจิทัลแอสเซท” จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงในทุกวงการไม่เฉพาะวงการการเงิน เพราะทุกวงการต้องมีการแลกเปลี่ยนมูลค่า มีทั้ง “Fungible Token” หรือโทเคนที่ไม่ได้มีลักษณะเฉพาะ เช่น คริปโทเคอเรนซี่ และ "Non-Fungible Token” (NFT) หรือ โทเคนที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น การแลกเปลี่ยนผลงานของนักร้องศิลปดารา สิ่งที่จับต้องไม่ได้อย่างทรัพย์สินที่มีคุณค่าทางจิตใจ หรือแม้แต่ชื่อเสียง ให้มีมูลค่าซื้อขายได้
ภายใต้โมเดลธุรกิจ “แฟลตฟอร์มบิซิเนส” ที่ไม่จำเป็นต้องมีสินค้าหรือบริการของตัวเอง แต่เป็นสะพานเชื่อมทุกสิ่งไว้ด้วยกัน ทำให้สามารถสร้างธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ ทำรายได้กลับเข้าประเทศได้อย่างมหาศาล และช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่อหลังวิกฤติโควิดได้ เช่น เฟซบุ๊ค กูเกิล อเมซอล แอร์บีเอ็นบี อูเบอร์ เป็นต้น
และแน่นอนว่าในโลกอนาคต สถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ ไม่ต้องมีเงินเป็นของตัวเอง แต่เป็นรูปแบบแฟลตฟอร์มบิซิเนส และในวงการการเงิน “ไฟแนนซ์เชียลแฟลตฟอร์ม” จะเป็นธุรกิจใหม่แห่งอนาคต ที่รวมทุกอย่างวงการทางการเงินไว้ด้วยกันทั้ง “ธนาคาร ตลาดหลักทรัพย์ ธุรกิจแลกเปลี่ยนเงิน” ทำได้ทั้งโอนเงิน ซื้อขายหุ้น ซื้อขายที่ดิน ซื้อขายไฟฟ้า การระดมทุน แลกเปลี่ยน
รวมถึงในวงการดิจิทัลแอสเซท “ตลาด NFT” จะเข้ามาเป็นจุดเปลี่ยนในโลกอนาคต เพราะ NFT จะดึงมูลค่าของสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ให้เกิดมูลค่าขึ้นมาให้จับต้องได้ และเกิดการแลกเปลี่ยนซื้อขาย เป็นการสร้างมูลค่าของโลกอนาคต
ดังนั้น “ตลาดไฟแนนซ์แฟลตฟอร์ม และตลาด NFT” จะกลายเป็นกระดูกสันหลักของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยที่จะทำให้ประเทศไทย หลุดออกจากกับดักรายได้ปานกลางและลดความเหลื่อมล้ำหลังเหตุการณ์โควิด-19 ทำให้ช่องว่างระหว่างคนคนจนกับคนรวยยิ่งถางออกไปมากขึ้น
แต่หนทางไปสู่เป้าหมายนำพาประเทศไทย หลุดจากโลกยุคเก่าติดกับดักเดิมๆ ก้าวข้ามไปสู่โลกยุคใหม่ “จิรายุส” มองว่า ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน กล้าที่จะเป็นมุมมองทัศนคติของตัวเองและสร้างความเข้าใจร่วมกัน และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงกฎหมายกำกับต่างๆ ซึ่งคงไม่ดูเพียงด้านความมั่นคงของประเทศอย่างเดียว ต้องดูด้านการพัฒนาประเทศควบคู่ไปด้วย
“บิทคับ” กางเป้าหมาย“ไฟแนนซ์แฟลตฟอร์ม”เพื่อประเทศไทย
สำหรับ “บิทคับ” เป็น Ecosystem เกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน ปัจจุบันได้สร้าง “แฟลตฟอร์มบิสิเนส” ได้แก่
“บิทคับ ออนไลน์” ที่เป็นซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล, “บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี” ให้คำปรึกษา ในการออกเหรียญ (ICO Portal) รวมทั้งพัฒนาและออกแบบบล็อกเชนสำหรับภาครัฐ และเอกชน และยังมี “บิทคับ บล็อกเชน เซ็นเตอร์” ให้ความรู้ด้านบล็อกเชนและสร้างองค์ความรู้และขณะนี้ “บิทคับ” ใกล้พัฒนา “แฟลตฟอร์ม NFT” สำเร็จแล้ว โดยวางเป้าหมายเป็น “ผู้ให้บริการการแลกเปลี่ยนมูลค่า” ที่ทุกคนบนโลก สามารถเข้ามาเชื่อมโยงร่วมกันในแฟลตฟอร์มบิซิเนสของบิทคับทั้งหมด
“จิรายุส” มองว่า ในโลกอนาคตตลาด NFT จะใหญ่มาก เพราะตลาดนี้จะเข้าไปถึงในทุกวงการ ทุกอุตสาหกรรมที่เป็นเรียลเซ็กเตอร์ ทั่วโลก คาดว่า ตลาด NFT จะเริ่มจากวงการเกม และวงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์ก่อน
ขณะเดียวกัน “บิทคับ” ยังต้องการขยายพันธมิตรทางธุรกิจ ในกลุ่มผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเรียลเซ็กเตอร์ในวงการเก่า เพื่อที่จะทำสิ่งใหม่ร่วมกัน และพัฒนาประเทศไปสู่ยุคใหม่พร้อมกัน และอยากให้เป็นบริษัทคนไทย 100% ด้วยกัน ปกป้องไม่ให้เงินไหลออกนอกประเทศ สร้างรายได้เพิ่มหนุนเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวต่อไปได้ในโลกยุคใหม่
แต่ปัจจุบันในไทย “ตลาด NFT” ยังผิดกฎหมาย คงไม่สามารถเปิดตัวให้คนไทยใช้ได้ ดังนั้น “บิทคับ” กำลังหารือกับหน่วยงานกำกับ เพื่อให้ความรู้และทำความเข้าใจตรงกัน ซึ่งยังต้องใช้เวลา แต่เรามองว่า ใช้เวลานานไม่ได้แล้ว เพราะยิ่งทำให้เราต้องสูญเสียรายได้ออกนอกประเทศไปเรื่อยๆ และสุดท้ายประเทศไทยจะถูกผลกระทบอย่างมาก คือ จะกลายเป็น “ประเทศล้าหลัง” ดังนั้น คนในโลกยุคนี้ ต้องลองมองในมุมใหม่ๆ อย่ารอให้โลกเปลี่ยนถึง ค่อยเปลี่ยน
หรือแม้แต่ในวิกฤติโควิด แนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของภาครัฐ นอกเหนือการเร่งฉีดวัคซีนและคุมการแพร่ระบาดของโร เร่งการเบิกจ่ายงบภาครัฐให้เร็วเข้าถึงกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทั้งรายย่อยและเอสเอ็มอีแล้ว มองว่า ภาครัฐต้องมีการเตรียมผลักดันความธุรกิจเก่า เป็นธุรกิจใหม่ และพร้อมสู่โลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็น การแก้กฎหมายที่อำนวยให้ทำสิ่งใหม่ได้ทันโลก พึ่งท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้แล้ว
และที่สำคัญการสนับสนุนเงินทุนพัฒนาด้านการศึกษา การส่งเสริมการเรียนรู้และสรา้งอาชีพใหม่คนยุคเก่าและคนยุคใหม่ ที่ตอบโจทย์ความต้องการธุรกิจยุคใหม่ เพื่อสนับสนุน “เศรษฐกิจดิจิทัล” นำพาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าในอนาคต
นอกจากนี้ อยากให้ส่งเสริม “ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล” มากขึ้น เพราะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในเชิงนโยบาย เช่น การสนับสนุนเงินช่วยเหลือในวิกฤติต่างๆ หากทำเป็น “ดิจิทัลบาท” มองว่า เงินเข้าถึงประชาชนเร็วขึ้นแก้ปัญหาได้ทันเวลาแน่นอน
อีกทั้งในวิกฤติโควิดครั้งนี้ พิสูจน์แล้วว่า “ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล” อย่าง “บิทคับ” เป็นบริษัทส่วนน้อยที่ไม่ได้รับผลกระทบ อีกทั้งยังเป็นตลาดที่ช่วยสร้างรายได้ให้คนไทยที่เข้ามาลงทุน และบริษัทยังมีการจ้างงานเพิ่ม สร้างรายได้ให้กับหลายครอบครัวในเวลายากลำบาก
“จิรายุส” กล่าวว่า เรามีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เรามองเห็นโลกอนาคตจะเปลี่ยนไปทางด้านไหน เรามีความสามารถ มีทรัพยากรต่างๆ มีหลายปัจจัยที่เรามีความพร้อม
ดังนั้นช่วงลมเปลี่ยนทิศเร็วมากในเวลานี้ นับว่า เป็นจังหวะเวลาที่ดีอย่างมากของ “บิทคับ” ซึ่งเป็นธุรกิจยุคใหม่ จะขอเป็นตัวแทนเชื่อมโยงโลกเก่าไปสู่โลกใหม่ โดยเราจะยังเป็นบริษัทคนไทย 100% ในระยะ 10 ปี ข้างหน้า ปกป้องวงการนี้ไม่ทำให้เงินไหลออกนอกประเทศ และสามารถจ่ายภาษีเป็นระดับพันล้านให้กับประเทศได้
ทั้งนี้ ในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นโลกของ “ไฟแนนซ์เชียลแฟลตฟอร์ม” บริษัทตั้งเป้าหมายจะเป็นธุรกิจที่ติดอันดับ 1 ใน10 ของธุรกิจรายใหญ่ของประเทศไทย ทั้งในแง่มูลค่าธุรกิจและมูลค่าที่สร้างต่อเศรษฐกิจของประเทศ
จาก 4 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้โตเกิน 1,000% ต่อปี คาดว่าภายในสิ้นปี 2564 มีรายได้แตะ 4,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2561 มีรายได้เพียง 3 ล้านบาท, ปี 2562 มีรายได้ 33 ล้านบาท และปี 2563 มีรายได้่ 345 ล้านบาท และจะมีกำไรเติบโตก้าวกระโดดภายในสิ้นปีนี้คาดกำไรจะอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท จากปีก่อนมี กำไร 100 ล้านบาทเท่านั้น ปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์ของลูกค้าดูแลทั้งสิ้น 50,000 ล้านบาท