‘แอสเสทเวิรด์’ ปูพรมแลนด์มาร์ก ปั้น‘ตึกสูงสุดในไทย-เลโก้แลนด์’
“แอสเสทเวิรด์ฯ” กว้านพันธมิตรทั่วโลกหนุนแผนลงทุน “แสนล้าน” ใน 5 ปี ขยายอาณาจักรอสังหาฯ 50 โครงการมูลค่ากว่า 2 แสนล้าน ปูพรม “แลนด์มาร์ค” ทำเลยุทธศาสตร์ชู 3 เรือธง “เอเชียทีค-อควอทีค-เวิ้งนครเขษม” ปั้นตึกสูงสุดในไทย หวังดึงดีมานด์นักท่องเที่ยวทั่วโลกหลังสิ้นวิกฤติโควิด
บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ถือเป็นแฟลกชิพสำคัญของทีซีซีกรุ๊ป กิจการในตระกูลเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี หลังจากนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครบรอบ 2 ปี เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา ด้วยขนาด IPO ที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งยังเป็น IPO ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในรอบ 5 ปี
บริษัทฯได้วางโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคงและแข็งแรง มุ่งขยายโครงการคุณภาพเติมพอร์ตโฟลิโอ โดยเฉพาะช่วง 5 ปีจากนี้ เพื่อเพิ่มกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง สร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ คือการดึงพันธมิตรระดับโลกเสริมความแข็งแกร่ง ทั้งเชนรับบริหารโรงแรมระดับโลก บริษัทออกแบบตึกสูง และแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง เพื่อดึงโกลบอลดีมานด์ หรือนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาใช้จ่ายในประเทศไทย
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า ตามแผนงาน 5 ปี ตั้งแต่ปี 2565-2569 บริษัทฯ เตรียมลงทุนอีก 1 แสนล้านบาท ผลักดันมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มเป็นกว่า 2 แสนล้านบาท จาก ณ สิ้นเดือน มิ.ย.2564 มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 134,284 ล้านบาท ราว 50% เป็นทรัพย์สินกลุ่มโรงแรม ส่วนอีก 50% กระจายในกลุ่มค้าปลีก ค้าส่ง และอาคารสำนักงาน
“การลงทุนใหม่ของแอสเสทเวิรด์ฯ ในช่วง 5 ปีนี้ มีทั้งโครงการคุณภาพและยูนีคที่จะเข้ามาเสริมกลยุทธ์บริหารและสร้างสมดุลกระแสเงินสด (Balance Cashflow) และสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากผลตอบแทนในการลงทุนที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเรามองการสร้าง ROE (Return on Equity) อยู่ที่ 15% และ IRR (Internal Rate of Return) อยู่ที่ 12%”
ทั้งนี้การบริหารกระแสเงินสดเป็นเรื่องสำคัญ โดยปีที่ผ่านมาบริษัทฯเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ 36% ลดต้นทุนคงที่ได้ 22%
- เดินหน้าลงทุนโครงการมิกซ์ยูส
โรดแมพธุรกิจ แอสเสทเวิรด์ฯ ยังเดินหน้าลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ทุกรูปแบบ รวมถึงโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูส ซึ่งเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed and Merged) ที่ไม่ได้มีการแยกโรงแรม ค้าปลีก หรืออาคารสำนักงานอย่างชัดเจน ให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่เพื่อดึงดูดลูกค้าจากทั่วโลก หนุนการสร้างกระแสเงินสดแบบก้าวกระโดด นอกจากนี้เตรียมปรับตำแหน่งทางการตลาด (รีโพสิชันนิ่ง) เช่น ในกลุ่มค้าปลีก 6 โครงการปัจจุบัน เพื่อปรับคอนเซ็ปต์และสร้างแม่เหล็กใหม่ ตอบโจทย์การสร้างประสบการณ์ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า หลังจากภาคธุรกิจค้าปลีกถูกวิกฤติโควิด-19 ดิสรัป โดนเซ็ตซีโร่ (Set Zero) กันหมด
โดยปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ ประกอบด้วย โรงแรม 18 แห่ง ค้าปลีก 8 แห่ง อาคารสำนักงาน 4 แห่ง ค้าส่ง 2 แห่ง รวม 32 แห่ง และขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการใหม่อีก 18 โครงการ ซึ่งจะทำให้ในอีก 5 ปีข้างหน้าบริษัทฯจะมีจำนวนอสังหาริมทรัพย์รวม 50 แห่งในหลากหลายทำเลสำคัญของประเทศไทย ตัวอย่างโครงการใหม่ที่เตรียมเปิดให้บริการในไตรมาส 4 ปีนี้ มีโรงแรมคอร์ทยาร์ด บาย แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ เปิด 2 พ.ย.นี้ และโรงแรมมีเลีย เชียงใหม่ เปิด 14 ธ.ค.นี้
- เผยอีก 9 ปียลโฉมตึกสูงเอเชียทีคฯ
ทั้งนี้ในอีก 5 ปีข้างหน้า บริษัทฯยังมีโครงการระดับแลนด์มาร์คอีก 3 โครงการซึ่งจะสร้างปรากฏการณ์ให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย รองรับดีมานด์จากนักท่องเที่ยวทั่วโลก โครงการแรกคือ “ASIATIQUE THE RIVERFRONT DESTINATION” ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะเป็นแลนด์มาร์กระดับไอคอนแห่งใหม่ของกรุงเทพฯที่มีคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม ประกอบด้วย ตึกสูงระฟ้าซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมริทซ์-คาร์ลตัน รีเซิร์ฟ จำนวน 124 ห้อง โรงแรมเจดับบลิว แมริออท มาร์คีส์ จำนวน 1,000 ห้อง ส่วนเซอร์วิส เรสซิเดนซ์คือ ริทซ์-คาร์ลตัน รีเซิร์ฟ แบรนเด็ด เรสซิเดนซ์ จำนวน 180 ห้อง รวมทั้งหมด 1,304 ห้อง ทั้งหมดอยู่ภายใต้การบริหารของเครือแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล
โดยขณะนี้พันธมิตรบริษัท Adrian Smith + Gordon Gill Architecture (AS+GG) ผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมสำคัญหลายแห่ง รวมถึงตึกสูงระฟ้าเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เช่น ตึกสูงที่สุดปัจจุบันในโลกอย่าง “เบิร์จ คาลิฟา” ในนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อยู่ระหว่างระดมสมองพนักงานกว่า 50 คนเพื่อโฟกัสการออกแบบตึกสูงของเอเชียทีคฯ คาดใช้เวลาออกแบบกว่า 2 ปี และน่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในอีก 9 ปีนับจากนี้หรือราวปี 2572
ขณะที่โซนอื่นๆ ของเอเชียทีคฯจะสร้างส่วนขยายของโซนพื้นที่ค้าปลีกเพิ่มเติม แล้วเสร็จภายใน 3 ปีนี้ นอกจากนี้ยังเตรียมขึ้นโรงแรมใหม่อีกแห่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนเจริญกรุง ใช้แบรนด์โรงแรม ออโตกราฟ คอลเลคชั่น ในเครือแมริออทฯเช่นกัน
- ดึงเลโก้แลนด์ต่อจิ๊กซอว์ ‘อควอทีคฯ’
โครงการที่ 2 “AQUATIQUE DISTRICT PATTAYA” โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ใจกลางเมืองพัทยา มีแหล่งชอปปิง แหล่งท่องเที่ยว โรงแรมหรู 5 แบรนด์ แบรนเด็ด เรสซิเดนส์อีก 2 แบรนด์ และพื้นที่ค้าปลีก นอกจากนี้ยังมีพื้นที่สำหรับสุขภาพ (Wellness) ตอบโจทย์การส่งเสริมให้พัทยาเป็นจุดหมายปลายทางของชายหาดยอดนิยมระดับโลก
โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนที่ 1 ประกอบด้วย แบรนด์ในเครือแมริออทฯ 3 แบรนด์ โดยโรงแรมเจดับบลิว แมริออท เดอะ พัทยา บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา จำนวน 398 ห้อง กับโรงแรมพัทยา แมริออท มาร์คีส์ จำนวน 900 ห้อง เจดับบลิว แมริออท แบรนเด็ด เรสซิเดนซ์ จำนวน 202 ห้อง และเวลเนส รีทรีต เดสติเนชั่น ที่จะร่วมกับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล และชีวาศรม
ส่วนที่ 2 โรงแรมวีนแยทท์ คอลเล็คชั่น จำนวน 234 ห้อง เป็นการรีแบรนด์โรงแรมเดิมซึ่งมีชื่อว่า แกรนด์ โซเล่ พัทยา เน้นนำเสนอธีมโฮเทล ชูการออกแบบที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ ส่วนที่ 3 โรงแรมคิมป์ตัน เป็นแบรนด์โรงแรมในเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป (ไอเอชจี) เช่นเดียวกับวีนแยทท์ฯ มุ่งนำเสนอพื้นที่สีเขียวและธรรมชาติเพื่อการผ่อนคลาย นอกจากนี้ยังมีคอมมูนิตี้มอลล์แบบเอาต์ดอร์ที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง
ส่วนที่ 4 มีโรงแรมอควอทีค พัทยา ออโตกราฟ คอลเลคชั่น จำนวน 306 ห้อง นอกจากนี้ยังมีออโตกราฟ คอลเลคชั่น แบรนเด็ด เรสซิเดนซ์ รวมถึงพื้นที่ค้าปลีกและแหล่งท่องเที่ยวแบบอินดอร์ธีมปาร์ค ได้แก่ อควอเรีย (Aquaria) และเลโก้แลนด์
- ชู ‘เวิ้งนครเขษม’ บูมไชน่าทาวน์
ด้านโครงการที่ 3 “เวิ้งนครเขษม” ซึ่งพัฒนาให้เป็นโครงการพิเศษแบบ Mixed Development ทั้งโรงแรม ที่อยู่อาศัย และค้าปลีกด้วยการลงทุนกว่า 16,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โรงแรมภายใต้การบริหารของเครือไอเอชจี 2 แบรนด์ ได้แก่ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ไชน่าทาวน์ จำนวน 332 ห้อง และโรงแรมไวท์ เลเบล จำนวน 32 ห้อง นอกจากนี้ยังมีแบรนเด็ด เรสซิเดนซ์ ภายใต้แบรนด์เครือไอเอชจีเช่นกัน เป็นห้องชุดให้เช่าจำนวน 122 ยูนิต ซึ่งมีตั้งแต่ประเภท 1-4 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 80-250 ตารางเมตร และห้องชุดเพนต์เฮาส์ รวมถึงโซโห เรสซิเดนซ์ ห้องชุดหรูแบบเอ็กซ์คลูซีฟ จำนวน 10 ยูนิต พื้นที่ใช้สอยประมาณ 200 ตารางเมตรต่อยูนิต รูปแบบการขายเป็นแบบลีสโฮลด์
ส่วนพื้นที่ค้าปลีกเป็นอาคารให้เช่าเพื่อการค้าขนาด 25,000 ตารางเมตร จะเป็นอาคารค้าปลีกใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ และยังมีพื้นที่เอาต์ดอร์แบบลานกว้างเพื่อการค้าและจัดกิจกรรมตามเทศกาลต่างๆ นอกจากนี้จะเชื่อมต่อกับอาคารโดยรอบที่จะอนุรักษ์ไว้ให้เป็นอาคารคลาสสิก พร้อมสร้างองค์เจดีย์ที่จะอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประดิษฐาน ทั้งหมดนี้เกิดจากการดึงเสน่ห์และอนุรักษ์ความเป็นไชน่าทาวน์ ให้เป็นเส้นทางมรดกทางประวัติศาสตร์และถนนแห่งความบันเทิง ตอบโจทย์การสร้างจุดหมายปลายทางดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
- รีวิวดีลเสนอขายทรัพย์สิน 200 โครงการ
นางวัลลภา กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังเกิดวิกฤติโควิด-19 พบว่าขณะนี้มีผู้เสนอขายทรัพย์สินมาให้บริษัทฯพิจารณาจำนวนมากกว่า 200 โครงการ โดยในมุมของโอกาสต่างๆ ที่เข้ามายังอยู่ในช่วงของการรีวิว ซึ่งอาจจะยังไม่ได้ตรงกับแนวทางการลงทุนของบริษัทฯที่เน้นการสร้างผลตอบแทนที่ตอบโจทย์ และการทรานส์ฟอร์มทรัพย์สินให้สามารถสร้างคอนเซปต์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้
ล่าสุดบริษัทฯได้พัฒนาโปรแกรม AI วิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ (Data Analytic) เพื่อวิเคราะห์โอกาสการลงทุนและดีลต่างๆ ที่เข้ามาเสนอขายแก่บริษัทฯ ว่าโครงการไหนตรงกับกลยุทธ์เป้าหมายของบริษัทฯ จากนั้นก็จะค่อยๆ วิเคราะห์ลงลึกเรื่องผลตอบแทนทางการเงิน โดยในช่วงที่ผ่านมาก็เพิ่งได้มีโอกาสลงทุนซื้อโรงแรมซิกมา รีสอร์ท จอมเทียน พัทยา เมื่อต้นปี 2564 และเซ็นสัญญากับเครือแมริออทฯให้เข้ามารับบริหารและรีแบรนด์เป็น เดอะ พัทยา แมริออท รีสอร์ท แอนด์ สปา จอมเทียน วางกำหนดเปิดให้บริการปี 2566 ส่วนโครงการอื่นๆ ก็ต้องค่อยๆ ดูจังหวะที่เหมาะสมต่อไป