เอฟทีเอว็อทช์ยก 4 เหตุผล คัดค้านประยุทธ์เดินหน้าเข้าร่วมซีพีทีพีพี
เอฟทีเอว็อทซ์อัดรัฐเมินเสียงประชาชน เข้าข้างกลุ่มทุน เดินหน้าเข้าร่วมซีพีทีพีพี ชี้ รัฐเมินผลพิจารณากมธ.
โดยเฉพาะปมอ่อนไหวให้ลดระดับความรุนแรง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ประเทศไทยเดินหน้าเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ทางกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการเข้าร่วม CPTPP ผ่านเฟสบุ๊คชื่อ FTA Watchโดยระบุว่า 1.การเข้าร่วม CPTPP อาจส่งผลดีทางเศรษฐกิจบ้างต่อบางกลุ่มธุรกิจ แต่ขัดแย้งและส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
2.นายดอน ปรมัตถวินัย รองนายกฯที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในการพิจารณาผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาการเข้าร่วมความตกลง CPTPP สภาผู้แทนราษฎร มิได้ดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมาธิการฯเกี่ยวกับจุดยืน ท่าที และการเตรียมความพร้อมในการเจรจาแต่ประการใด โดยเฉพาะในเรื่องการผูกขาดพันธุ์พืช การเข้าถึงยา การคุ้มครองผู้บริโภค ผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศกรณีการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และข้อบทการคุ้มครองนักลงทุน อาทิเช่น ไม่มีการยืนยันในหลักการที่ประเทศไทยจะต้องไม่รับข้อเจรจาที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิกของอนุสัญญา UPOV1991 และยังพยายามกดดันหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องให้ละทิ้งข้อสงวนที่คณะกรรมาธิการเสนอแนะไว้เกี่ยวกับสิทธิในการกำกับดูแลของรัฐ (Right to regulate) สำหรับมาตรการด้านสาธารณสุขออกจากการฟ้องรัฐด้วยกลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน (ISDS) โดยเฉพาะ กรณีการใช้สิทธิบัตรเหนือสิทธิบัตรยาเพื่อสาธารณประโยชน์ (CL for public use)
นอกจากนี้ยังกดดันให้หน่วยงานต่างๆปรับลดประเด็น “สีแดง” กรณีผลกระทบที่คณะกรรมาธิการฯศึกษาว่าจะมีผลกระทบรุนแรงให้เปลี่ยนเป็น “สีเหลือง” กรณีที่ถ้ามีเวลาปรับตัว มีงบประมาณจะไม่เป็นปัญหาเพื่อลดประเด็นอ่อนไหวให้น้อยลง โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากความตกลงฯอย่างแท้จริง ซึ่งมีกรณีที่เข้าข่ายนี้อีก 16 ประเด็น นอกเหนือจาก ผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลง UPOV1991, กลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน เช่น ประเด็น ฉลากและควบคุมแอลกอฮอล์ , Digital tax, ยกเลิก Special Agricultural Safeguard, ผลกระทบที่จะเกิดแก่องค์การเภสัชกรรม, โครงสร้างภาษีอากรวัตถุดิบกับสินค้าสำเร็จรูป
ดังนั้นข้ออ้างของ นายดอน ปรมัตถวินัย รองนายกฯ ใน ครม.ที่ชี้แจงว่า สามารถจัดการทุกอย่างได้-ตอบคำถามได้นั้น เป็นเพียงการใช้วิธีทางการฑูตเพื่อให้ได้ข้ออ้างในการสร้างความชอบธรรมเพื่อเข้าร่วม แต่ไม่ได้ทำให้เกิดความพร้อมในการเจรจาได้อย่างแท้จริง
3. ข้อเสนอแนะสำคัญของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯที่ว่า ไทยยังไม่สมควรที่จะเข้าร่วมในความตกลง CPTPP เนื่องจากไทยยังไม่มีความพร้อมในหลากหลายด้าน หากจะมีการเจรจา ควรมีกรอบการเจรจาที่เกิดจากกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยเฉพาะประเด็นอ่อนไหว หากเจรจาไม่ได้ตามที่ระบุไว้ ก็ไม่ควรเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลง แต่พบว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีแม้แต่ร่างกรอบเจรจาฯที่ว่า นี่เรียกว่าพร้อมได้อย่างไร เพราะถึงแม้ พล.อ.ประยุทธ์จะกล่าวว่า เข้าร่วมแบบมีข้อสงวน แต่เป็นการพูดปากเปล่า ไม่มีแม้แต่สัญญาประชาคมว่า อะไรคือ ข้อสงวนที่ผู้เจรจาฝ่ายไทยต้องถือเป็นบรรทัดฐานในการเจรจา
4. สภาองค์กรของผู้บริโภคที่ ได้ทำข้อเสนอแนะให้รัฐบาลชะลอการส่งหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าร่วม CPTPP ไว้ก่อน เนื่องจากยังมีความเห็นต่างในเรื่องผลได้ทางเศรษฐกิจและผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนไทยทั้งประเทศ ซึ่งสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ทำหนังสือถึงสภาองค์การของผู้บริโภค เมื่อวันที่ 20 ก.ค. พ.ศ.2564 ความว่า นายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว มีบัญชารับทราบข้อห่วงกังวลดังกล่าว และบัญชาให้กระทรวงพาณิชย์ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศพิจารณาและประสานกับสภาองค์กรของผู้บริโภคต่อไป ซึ่งจนถึงขณะนี้ 'บัญชาของนายกรัฐมนตรี' นี้ยังไม่มีหน่วยราชการใดนำไปปฏิบัติ
แม้มีข้ออ้างว่า ประเทศจีนแสดงความสนใจในการเข้าร่วม CPTPP แต่ยังห่างไกลกว่าที่จะเป็นจริงได้เนื่องจากเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นกรณีการขอเข้าร่วมของไต้หวัน และท่าทีของญี่ปุ่น แคนาดา และออสเตรเลีย ซึ่งเป็นพันธมิตรทางการค้าและความมั่นคงที่ใกล้ชิดกับสหรัฐที่แสดงออกว่าไม่ต้องการให้จีนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงนี้
การเข้าร่วมความตกลง CPTPP ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ดังที่ได้กล่าวแล้วยังอาจเป็นการนำประเทศไทยเข้าไปสู่ความยุ่งยากทางภูมิรัฐศาสตร์ยิ่งกว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
พล.อ.ประยุทธ์ เคยประกาศในเวทีสหประชาชาติว่า ประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่การตัดสินใจโดยรับฟังจากข้อเสนอแนะของ กกร. และไม่สนใจข้อท้วงติงของภาคส่วนอื่นๆ ชี้ชัดว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ให้ความสำคัญกับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และทุนผูกขาดเท่านั้น โดยไม่ได้แสดงความเคารพต่อความคิดเห็นของประชาชนและข้อเสนอแนะของสภาฯ