มาราธอน 6 ปี "มอเตอร์เวย์" ทำไม ช้ากว่าแผน - งบบานปลาย
กรมทางหลวงจ่อเสนอ ครม. เพิ่มงบก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน - โคราช ไม่เกิน 6.7 พันล้านบาท วนลูปมอเตอร์เวย์สายมาราธอน 6 ปี อัดเบิกจ่ายงบบานปลาย
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 ก.ค.2558 มีมติอนุมัติโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) 3 เส้นทาง วงเงินรวมกว่า 1.6 แสนล้านบาท ประกอบด้วย 1.สายพัทยา-มาบตาพุด 2.สายบางปะอิน-นครราชสีมา และ 3.สายบางใหญ่-กาญจนบุรี โดยกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น มีเป้าหมายเริ่มประมูลจัดหาผู้รับเหมาในปี 2559 ตั้งเป้าก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2562
หากนับไทม์ไลน์จนถึงขณะนี้ เรียกได้ว่าเป็นโครงการมอเตอร์เวย์ที่มาราธอนมาแล้ว 6 ปี ปัจจุบันสายพัทยา - มาบตาพุด เปิดให้บริการไปแล้ว ยังเหลือในส่วนของสายบางปะอิน – นครราชสีมา และบางใหญ่ – กาญจนบุรี เจออุปสรรคตลอดการเดินทาง คู่ขนานไปกับงานก่อสร้างที่เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง
โดยกรมทางหลวง (ทล.) ออกมาระบุว่า โครงการมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ก่อนหน้านี้ติดปัญหาการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมากว่า 2 ปี เพราะค่าชดเชยกรรมสิทธิ์ในการเวนคืนที่ดินในโครงการนี้ เป็นผลการศึกษาตั้งแต่ปี 2558 ประเมินกรอบวงเงินอยู่ที่ 5,420 ล้านบาท แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน การพัฒนาที่ดินเปลี่ยนแปลงไป และพบว่าค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ศึกษาไว้ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ส่งผลให้ในปี 2562 ที่ ครม. มีมติอนุมัติขยายกรอบวงเงินงบประมาณค่ากรรมสิทธิ์ที่ดินมอเตอร์เวย์ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี จาก 5,420 ล้านบาท เป็น 12,032 ล้านบาท เพื่อนำมาจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 2,527 แปลง จากปัญหาข้างต้น ส่งผลให้โครงการมอเตอร์เวย์สายนี้ ต้องหยุดชะงักออกไป 2 ปี และเพิ่งกลับมาเริ่มงานก่อสร้าง ความคืบหน้ากว่า 60%
อีกทั้ง ทล.ได้เสนอขอปรับเพิ่มงบโครงการมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ในส่วนของวงเงินค่าก่อสร้าง เนื่องจากติดปัญหาโครงการในตอน 12 ระยะทาง 5.77 กม.โครงสร้างสะพานมีการทรุดตัวของคอสะพานในช่วงทางขึ้นและทางลง รวมทั้งลักษณะของสะพานมีขนาดใหญ่ จึงมีความจำเป็นต้องปรับแบบก่อสร้าง ซึ่งได้รับการอนุมัติจาก ครม.ปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการดังกล่าว จากเดิม 55,927 ล้านบาท เพิ่มเป็น 56,047.77 ล้านบาท หรือปรับเพิ่มขึ้น 120.37 ล้านบาท
ขณะที่มอเตอร์เวย์สายบางปะอิน - นครราชสีมา แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่ติดปัญหาเวนคืนที่ดิน งานก่อสร้างสามารถเริ่มต้นได้ แบ่งการก่อสร้างเป็น 40 สัญญา โดยก่อสร้างแล้วเสร็จ 20 สัญญา และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 20 สัญญา สถานะมีความคืบหน้าการก่อสร้าง 94%
แต่ปัจจุบันพบปัญหาปรับแบบก่อสร้าง 17 ตอน ทำให้งานก่อสร้างต้องหยุดชะงัก เนื่องจากแบบก่อสร้างเดิม ออกแบบมาตั้งแต่ปี 2551 ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ส่งผลให้ ทล.เตรียมเสนอขอเพิ่มงบก่อสร้างไม่เกิน 6.7 พันล้านบาท โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างสรุปรายละเอียดเหตุผลของการขออนุมัติงบเพิ่มเติม เพื่อเสนอ ครม. ก่อนจะเริ่มงานก่อสร้างให้แล้วเสร็จ
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ปัญหาของโครงการมอเตอร์เวย์ทั้งสองสายนี้ต้องล่าช้า ส่วนแรกต้องเจอกับปัญหาจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งเป็นผลการศึกษาที่มีมานานแล้ว และไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ประเด็นนี้ ทล.จะนำมาปรับใช้กับโครงการในอนาคต ต้องจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แล้วเสร็จ หรือมีความพร้อมมากที่สุด ก่อนจะดำเนินการเปิดประกวดราคา
ส่วนปัญหาของแบบก่อสร้างที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าโครงการมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน – นครราชสีมา และบางใหญ่ - กาญจนบุรี เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ มีแนวเส้นทางที่ยาว และต้องเวนคืนที่ดินจำนวนมาก ประกอบกับมีการเร่งรัดดำเนินโครงการ จึงอาจเป็นส่วนหนึ่งของการผิดพลาดไม่ได้ทบทวนแบบก่อสร้าง หลังจากนี้ ทล.จะนำมาปรับปรุง กำชับให้มีการสำรวจพื้นที่จริง ทบทวนแบบก่อสร้างก่อนเปิดประกวดราคา
ทั้งนี้ หากย้อนถึงความผิดพลาด สู่บทเรียนงบบานปลาย พบว่า โครงการมอเตอร์เวย์บางปะอิน - นครราชสีมา และบางใหญ่ - กาญจนบุรี เสนอขอปรับเพิ่มกรอบงบประมาณจาก ครม. มาแล้ว 2 ครั้ง สำหรับสายบางใหญ่ – กาญจนบุรี และเตรียมเสนอในส่วนของสายบางปะอิน – นครราชสีมา เร็วๆ นี้ รวมวงเงินปรับเพิ่มหากได้รับการอนุมัติทั้งหมด จะสูงถึง 1.88 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น
สายบางปะอิน - นครราชสีมา
วงเงินลงทุนโครงการ 84,600 ล้านบาท
- ค่าก่อสร้าง 77,970 ล้านบาท
- ค่าเวนคืน 6,630 ล้านบาท
เตรียมเสนอ ครม.ของบก่อสร้างเพิ่มไม่เกิน 6,700 ล้านบาท
สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี
วงเงินลงทุน 55,927 ล้านบาท
- ค่าก่อสร้าง 38,475 ล้านบาท
- ค่าเวนคืน 17,452 ล้านบาท
12 พ.ย.2562 ครม.อนุมัติกรอบวงเงินค่ากรรมสิทธิ์ที่ดิน จากเดิม 5,420 ล้านบาท เป็น 17,452 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12,032 ล้านบาท
12 ต.ค. 2564 ครม.อนุมัติกรอบวงเงินค่าก่อสร้าง จากเดิม 55,927 ล้านบาท เป็น 56,047.77 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 120.37 ล้านบาท