กัลฟ์ รุก พลังงาน-โครงสร้างพื้นฐาน-ดิจิทัล ตั้งเป้าโตต่อเนื่อง 20 ปี
กัลฟ์ดันธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง 20 ปี เน้นลงทุนพลังงานทดแทน สาธารณูปโภคพื้นฐาน เตรียม Synergy กับ AIS ปั้นแพลตฟอร์มขายไฟ รุกธุรกิจดิจิทัล ดาร์ต้าเซนเตอร์
สารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF กล่าวในงานสัมนาหุ้นปลอดภัยฝ่าภัยโควิด ว่ากัลฟ์เน้นในเรื่องการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องคือในอีก 10 – 20 ปี ต้องมีการเติบมากขึ้น ซึ่งการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้คือต้องให้มีโครงการใหม่ๆเข้ามาซึ่งมีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ระดับหลายพันล้านบาทไปจนถึงหลายหมื่นล้านบาทซึ่งเป็นโครงการที่กัลฟ์มีความถนัดเป็นหลักทั้งในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน หรือธุรกิจไฟฟ้า โดยการลงทุนต้องหาจุดสมดุลกับฐานะการเงินของบริษัท ซึ่งนอกจากรายได้ที่จะเติบโตทุกปีแล้วยังต้องสามารถที่จะมีการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ทุกปี โดยเราเน้นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเน้นการกระจายความเสี่ยงเป็นหลักด้วย
การลงทุนในธุรกิจพลังงาน ปัจจุบันกัลฟ์มีโรงไฟฟ้า 23 โรง ส่วนใหญ่เป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ส่วนการขยายการลงทุนจะเพิ่มโรงไฟฟ้าที่เป็นพลังงานสะอาด พลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียน ทั้งลม แสงอาทิตย์ และเขื่อน โดยมีหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจาคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน กัลฟ์อยู่ระหว่างการก่อสร้างท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 โดยเป็นการสร้าง LNG terminal ซึ่งถือเป็นท่าเรือที่มีคลัง LNG เป็นแห่งที่ 3 ของประเทศ
โดยการลงทุนในโครงการนี้จะช่วยสนับสนุนธุรกิจของกัลฟ์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้า ซึ่งเมื่อกัลฟ์สามารถนำเข้าก๊าซ LNG เข้ามาเองได้ จะสามารถลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าอย่างมีนัยสำคัญ และต่อยอดธุรกิจได้ใน นอกจากนั้นในเร็วๆนี้จะมีการเซ็นต์สัญญาท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นท่าเรือยุทธศาสตร์ที่สามารถรับเรือขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาในประเทศไทยได้ ทำให้สินค้าที่เราจะส่งไปยุโรปอเมริกาได้โดยไม่ต้องไปเปลี่ยนเรือที่สิงคโปร์ ช่วยลดค่าขนส่งผู้ประกอบการในไทยได้
ในส่วนที่กรณีที่กัลฟ์เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท อินทัช จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ AIS และบริษัท ไทยคม นายสารัชถ์กล่าวว่าการลงทุนในอินทัชคือการมองไปยังธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตค่อนข้างมาก เชื่อว่าจะสามารถต่อยอดในส่วนที่เป็นรายได้ในการเติบโตมากขึ้น รวมทั้งสามารถจะมาปรับใช้กับธุรกิจของกัลฟ์ได้ กัลฟ์กำลังอยู่ระหว่างศึกษารูปแบบความร่วมมือที่จะใช้ความเชี่ยวชาญของเอไอเอสมาออกแบบโมเดลธุรกิจร่วมกันในลักษณะที่เป็น Synergy ในอนาคต โดย AIS ถือว่ามีความเชี่ยวชาญเรื่องของข้อมูลขณะที่กัลฟ์มีธุรกิจหลักคือธุรกิจพลังงาน และธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่งในอนาคตอาจนำไปสู่การพัฒนาระบบการซื้อไฟฟ้าผ่านแพลตฟอร์ม เพราะในระยะยาวคนทั่วไป โรงงานอุตสาหกรรม บ้านเรือน ธุรกิจ จะสามารถเลือกซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าที่ต้องการได้ จึงจะต้องมีการพัฒนาแพลตฟอร์มในส่วนนี้ขึ้นมา โดยใช้ความเชี่ยวชาญเรื่องดิจิทัลของ AIS มาต่อยอดในส่วนนี้
“ถ้าเทียบง่ายๆตอนนี้เราถือหุ้นในอินทัช 40% เข้าใจว่า earning ที่มันขึ้นมาจาก AIS สมมติว่าปีละ 30,000 ล้านบาท ก็เท่าก้บว่า INTUCH จะมีกำไรจากการถือหุ้น AIS ประมาณ 12,000 ล้านบาท ถ้าเราถือ 40% จะทำให้เรา book earning ในแต่ละปีได้ถึง 5-6 พันล้านบาทต่อปี"
เมื่อถามว่าจะมีการเข้าไปซื้อหุ้นหรือกิจการในบริษัทไหนอีกหรือไม่ นายสารัชถ์กล่าวว่าในอีก 4 – 5 ปีกัลฟ์มีฐานของรายได้ที่เติบโตอยู่ระดับที่น่าพอใจ การเข้าไปซื้อบริษัทอื่นๆเข้ามาเพิ่มเติมอีกคงยังไม่มี ส่วนการร่วมทุนต้องดูลักษณะโครงการเพราะบางโครงการที่ไปซื้อหรือเข้าไปลงทุนทำมาหลายปี อย่างไรก็ตามแผนการลงทุนยังมีความยืดหยุ่น ถ้าซื้อแพงแล้วรายได้ที่เข้ามาไม่สมเหตุสมผลก็จะไม่ลงทุน ก็จะเก็บเงินสดไว้ลงทุนในโครงการที่มีความคุ้มค่าในการลงทุนในอนาคตมากกว่า
“ในการเป็นนักลงทุนมีทางเลือกมากต้องดูว่าหุ้นตัวไหนต้องดูว่าซื้อแล้วนอนหลับ ผลประกอบการดีถือเป็นการลงทุนที่น่าสนใจซึ่งกัลฟ์ก็เป็นทางเลือกหนึ่งเช่นเดียวกับหลายๆบริษัท ถ้าหลังจากการเปิดประเทศหลังโควิด ประเทศจะเปลี่ยนมาก การลงทุนจะมากขึ้นจากการย้ายฐาน เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ก็ต้องดูว่าทิศทางของเงินลงทุนจะไปอยู่ในหุ้นประเภทไหน”นายสารัชถ์กล่าว