"ซิตี้แบงก์" เปิดรายงานอนาคตของซัพพลายเชนในเอเชียแปซิฟิก
ธนาคารซิตี้แบงก์ เผยรายงาน "วิจัยอนาคตของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก" พบภาคเอกชนกำลังทบทวนกลยุทธ์.ในอนาคตระยะยาว "เพิ่มการลงทุนในระบบดิจิทัล ภาคธุรกิจแถบยุโรป อเมริกาเหนือ อาจมีการถอนตัวจากห่วงโซ่อุปทานระดับโลกแต่มาเน้นการขยายตัวภายในภูมิภาค
ธนาคารซิตี้แบงก์ เผยผลรายงาน "การวิจัยอนาคตของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก" (Disruption, Digitization, Resilience: The Future of Asia-Pacific supply chains)" จัดทำโดย "ดิ อิโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต" (The Economist Intelligence Unit : EIU) สำรวจข้อมูลช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 จากบริษัททั่วโลกครอบคลุมอุตสาหกรรมหลัก 6 ประเภท ประกอบด้วย 1.ยานยนต์ 2.รองเท้าและเครื่องแต่งกาย 3.อาหารและเครื่องดื่ม 4.การผลิต 5.ไอที/เทคโนโลยี/อิเล็กทรอนิกส์ และ 6.การดูแลสุขภาพ/ยาเทคโนโลยีชีวภาพ
พบว่า 5 ปัจจัยของการหยุดชะงักในซัพพลายเชนจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้แก่ หยุดการผลิต 36.4% ตามมาด้วยปัญหาการขนส่งทางอากาศ ทะเล รถไฟ และถนน 20.9% ปัญหาการเข้าถึงวัตถุดิบการผลิตหลัก เช่น ฝ้าย แร่เหล็ก แร่หายาก 17.3% ข้อจำกัดทางการค้า เช่น การควบคุมการส่งออก ภาษีนำเข้า 11.8% และการเข้าถึงปัจจัยการผลิตของสินค้าขั้นกลาง เช่น เหล็ก ส่วนประกอบ เซมิคอนดักเตอร์ 6.4%
นอกจากนี้จากผลสำรวจ ยังเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ซัพพลายเชนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา พบว่า 44.6% ดำเนินการเปลี่ยนแปลงบางอย่างแต่กลยุทธ์หลักยังคงเหมือนเดิม 32.6% กำลังดำเนินการยกเครื่องกลยุทธ์ใหม่ทั้งหมด และ 22.9% ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
โดย 5 กลยุทธ์หลักสำหรับการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ 1. การกระจายความหลากหลาย เช่น ปรับซัพพลายเชนของบริษัทให้มาจากซัพพลายเออร์ที่หลากหลาย หรือขายในตลาดที่กว้างขึ้น
2. ย้ายซัพพลายเชนของบริษัทไปยังประเทศรอบ ๆ ตลาดหลัก หรือตลาดของผู้ใช้ปลายทาง
3. การโลคัลไลเซชันด้วยการย้ายซัพพลายเชนให้อยู่ในตลาดหลักหรือตลาดผู้ใช้ปลายทาง
4. ย้ายการผลิตกลับไปยังประเทศบ้านเกิดของบริษัท
และ 5. China Plus One แนวคิดการลงทุนในประเทศอื่นที่ไม่ใช่จีนอย่างเดียว อย่างไรก็ดียังพบว่าอุตสาหกรรมไอที เทคโนโลยี และอิเล็กทรอนิกส์ มีการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ซัพพลายเชนน้อยกว่าภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ
พร้อมกันนี้ผลสำรวจยังเผยให้เห็นประเทศที่บริษัทต่างๆ ลงทุนตลอดทั้งปีที่ผ่านมาหรือกำลังวางแผนที่จะทำในปีหน้า โดยบริษัทในเอเชียมีการลงทุนในประเทศ อินโดนีเซีย บังคลาเทศ ออสเตรเลีย ฮ่องกง เกาหลีใต้ เมียนมาร์ มาเลเซีย และศรีลังกา ใน
ขณะบริษัทที่อยู่ในอเมริกาเหนือและยุโรปมีความสนใจลงทุนในฟิลิปปินส์ อินเดีย จีน สิงคโปร์ เวียดนาม และญี่ปุ่น โดยปัจจัยที่ทำให้ประเทศเหล่านี้เป็นที่น่าลงทุนจากมากไปน้อย ประกอบด้วย 1.ค่าแรง 2.ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ 3.เข้าถึงตลาดหลัก โครงสร้างพื้นฐาน และสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบ 4.ผลผลิต 5.ฝีมือแรงงาน 6.เงินอุดหนุน/สิ่งจูงใจจากรัฐบาล และทักษะต่าง ๆ 7.การแปลงสกุลเงิน 8.เสถียรภาพทางการเมือง และอัตราภาษี 9.การเข้าถึงการเงิน ตามลำดับ
สุดท้ายนี้ผลสำรวจแสดงให้เห็นถึงความกังวลในอนาคตที่อาจส่งผลกระทบ พบว่าบริษัททั่วโลกส่วนใหญ่มีความกังวลในเรื่อง
1. โรคระบาดครั้งต่อไป
2. การล่มสลายของระบบการค้าโลก และ
3. วิกฤติเศรษฐกิจหรือการเงิน
อย่างไรก็ตามการระบาดของโรคโควิด-19 ได้นำไปสู่การเพิ่มการลงทุนในเครื่องมือและกระบวนการดิจิทัลเพื่อจัดการซัพพลายเชน โดยบริษัทส่วนใหญ่มีการลงทุนเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในเครื่องมือและกระบวนการดิจิทัล ทั้งกระบวนการผลิต การบริการลูกค้า การคาดการณ์ความต้องการซื้อและความต้องการขาย การจัดการสินค้าคงคลัง ฯลฯ
รายงานดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่าทุกภาคอุตสาหกรรมต่างมีการตอบสนองต่อความท้าทายต่าง ๆ ที่กำลังเผชิญ ซึ่งทั้งหมดล้วนมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อรักษาความยั่งยืนของการดำเนินธุรกิจในระยะยาว รวมถึงทำให้ภาคธุรกิจในภูมิภาคมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อรองรับผลกระทบจากสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซิตี้แบงก์ในฐานะธนาคารชั้นนำที่มีการดำเนินงานอยู่ในกว่า 100 ตลาดทั่วโลก มีความมุ่งมั่นในการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายด้วยความสามารถในการให้คำปรึกษาผสานความเชี่ยวชาญในระดับท้องถิ่น พร้อมการเดินหน้าสำรวจภาคธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดนิ่ง ควบคู่ไปกับการเป็นพันธมิตรกับลูกค้านักลงทุนอย่างใกล้ชิด
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานดังกล่าวสามารถดูได้ที่ Citi Report The Future of Asia-Pacific supply chains รวมถึงติดต่อธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย หรือ www.citibank.co.th