"อนุสรณ์ ธรรมใจ" แนะต่อเวลาผ่อนคลาย LTV ไปอีก 2-3 ปี มั่นใจไม่เกิดฟองสบู่
“อนุสรณ์ ธรรมใจ” หนุน ธปท. ผ่อนคลาย LTV มองช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการซื้อขายอสังหาฯ การจ้างงาน การลงทุนเพิ่มขึ้นในหนึ่งปีข้างหน้า แนะควรต่อเวลาปลดล็อกไปอีก 2-3 ปี เชื่อไม่เกิดฟองสบู่ คาดเศรษฐกิจไทย 2 เดือนสุดท้ายสดใสรับเปิดประเทศ หนุนหุ้นไทยปลายปีทดสอบ 1,680 จุด
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต เปิดเผยว่า สนับสนุนการผ่อนคลายมาตรการสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของแบงก์ชาติ คาดกระตุ้นให้เกิดธุรกรรมซื้อขาย การจ้างงานและการลงทุนเพิ่มขึ้นในช่วงหนึ่งปีข้างหน้า การประกาศมาตรการผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้และต่อเนื่องไปถึงปีหน้า คาดว่าธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ภาคก่อสร้างและธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้าง รวมทั้งโรงแรมและรีสอร์ทในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่มีปัญหาสภาพคล่องและเจ้าของเดิมไม่สามารถดำเนินการธุรกิจต่อได้ จะถูกเปลี่ยนมือเป็นผู้ลงทุนรายใหม่ได้ง่ายขึ้น หากพิจารณารายละเอียดของมาตรการแบงก์ชาติ พบว่าการกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็น 100% สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจะสามารถกระตุ้นให้เกิดธุรกรรมซื้อขายเพิ่มขึ้นเป็นประโยชน์ทั้งประชาชนผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของสถาบันการเงินต่างๆ นอกจากนี้ ธุรกิจตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์จะได้รับผลบวกอีกด้วย
โดยคาดว่าจะทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบประมาณ 9.8% ของจีดีพี ทำให้เกิดการจ้างงาน 2.8 ล้านตามการคาดการณ์ของแบงก์ชาติ ซึ่งส่วนตัวมองว่าหากตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจทำงานได้ดีจากความเชื่อมั่นจากการเปิดประเทศ พร้อมกับการเปิดช่องให้นักลงทุนต่างชาติลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้มากขึ้นจะทำให้ผลบวกอาจดีกว่าที่แบงก์ชาติคาดการณ์ไว้ ส่วนการผ่อนคลายชั่วคราวเป็นระยะหนึ่งปีนั้น อาจสั้นเกินไป ควรผ่อนคลายอย่างน้อย 2-3 ปี เพราะไม่เชื่อว่าจะมีสัญญาณฟองสบู่ใดๆในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้านี้ และไม่มีสัญญาณหนี้เสียเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงเนื่องจากสถาบันการเงินส่วนใหญ่ล้วนมีมาตรการปล่อยสินเชื่อที่ค่อนข้างรัดกุมอยู่แล้ว
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจสองเดือนสุดท้าย คาดว่าจะกระเตื้องขึ้นชัดเจนจากการเปิดประเทศ เงินจะสะพัดมากขึ้น ไม่มีความจำเป็นใดๆในขณะนี้ในการชดเชยเกินพอดีจากการปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมัน ไม่ว่าจะกู้เงินก่อหนี้สาธารณะเพิ่มมาชดเชยราคาน้ำมันผ่านกองทุนน้ำมันหรือลดภาษีสรรพสามิต เพราะจะก่อให้เกิดปัญหาฐานะทางการคลังในระยะปานกลางและระยะยาว รวมทั้งไม่ส่งเสริมให้เกิดการปรับตัวของระบบเศรษฐกิจในการลดใช้พลังงาน ลดการปล่อยมลพิษลดภาวะโลกร้อน
ขณะเดียวกันคาดเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดการเงินไทยจากเงินบาทอ่อนค่า การเปิดประเทศ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนกระเตื้องขึ้น และการคาดการณ์ต่ออนาคตทางเศรษฐกิจดีขึ้น การปรับลดมาตรการ QE ไม่มีผลต่อตลาดหุ้นในอาเซียนมากนัก คาดการณ์ว่า ดัชนีตลาดหุ้นมีโอกาสทดสอบระดับ 1,680 จุดในช่วงปลายปีนี้ได้ คาดกลุ่มธุรกิจพลังงาน กลุ่มธุรกิจสถาบันการเงินขนาดใหญ่ กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และท่องเที่ยวจะเป็นตัวนำตลาด และมีการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจโรงแรม กลุ่มโลจิสติกส์การเดินทาง กิจการสายการบิน เป็นต้น แนะนำให้ทยอยเทขายทำกำไรกลุ่มพลังงานหากราคาน้ำมันทะลุระดับ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนกลุ่มสถาบันการเงินให้เลือกลงทุนในหุ้นที่มี Valuation ที่น่าสนใจ ราคาไม่แพงเกินไป
อย่างไรก็ตาม การเปิดประเทศแม้จะเป็นผลบวกอย่างมากต่อเศรษฐกิจ การสร้างรายได้และการจ้างาน แต่ขอเตือนว่า ทุกคนต้องร่วมมือกันและตระหนักว่าต้องดำเนินชีวิตตามหลักการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ให้ระวังการติดเชื้อพุ่งขึ้นจากบางกิจกรรมโดยเฉพาะกิจกรรมผิดกฎหมายที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐมีผลประโยชน์เกี่ยวพันหรือมีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐ และหากมีการแพร่ระบาดอีกในบ่อนการพนันหรือสถานบันเทิง หรือ แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย จะนำไปสู่ความจำเป็นต้องกลับมาล็อกดาวน์และปิดประเทศอีกในระลอกสี่ จะเกิดวิกฤติซ้ำซ้อน ประชาชนระดับฐานราก กิจการขนาดย่อมและขนาดเล็กจะไม่สามารถรองรับการล็อกดาวน์และปิดประเทศได้ การมีมาตรการควบคุมโรคระบาดที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเมื่อมีสัญญาณของการเพิ่มขึ้นของการติดเชื้อในบางพื้นที่หรือบางกิจกรรมหลังเปิดประเทศจะเป็นหลักประกันว่า เศรษฐกิจจะสามารถกลับมาดำเนินได้ตามปรกติหรือไม่ท่ามกลางการระบาดของโควิดที่ยังดำเนินต่อไป
ขณะที่ทิศทางอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นและมีความเสี่ยงที่จะมีแนวโน้มสูงเป็นเวลานาน หากเศรษฐกิจของประเทศใดไม่มีสัญญาณการกระเตื้องขึ้นของเศรษฐกิจเลยจะเผชิญกับสภาวะ Stagflation ทันที คือ เงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจชะงักงันชะลอตัว อัตราว่างงานสูง โดยภาวะ Stagflation เป็นสภาพที่แก้ไขยากเพราะหากใช้นโยบายการเงินการคลังผ่อนคลายมากเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ว่างงานสูง ก็จะสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อได้
คาดการณ์ประเทศไทยจะไม่เจอกับภาวะดังกล่าว หรือ หากจะเจอก็จะเป็นปรากฎการณ์ชั่วคราว แม้ส่วนตัวจะมองว่า ดัชนีความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจ (Misery Index) ของไทยจะเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ไม่สูงมาก ซึ่งไทยเคยมีอัตราความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจต่ำที่สุดในโลกหลายปีต่อเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อต่ำและอัตราการว่างงานต่ำในช่วง พ.ศ. 2543-2562 ซึ่งดัชนีทุกข์ยากคำนวณจากการนำอัตราเงินเฟ้อมาบวกกับอัตราการว่างงาน ดัชนีพัฒนาขึ้นมาโดย ดร. Art Okun นักเศรษฐศาสตร์ชาวสหรัฐ
ทั้งนี้ การที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วโดยล่าสุดราคาน้ำมันในตลาดโลกทะลุระดับ 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลไปแล้ว โดยกลุ่มประเทศละตินอเมริกา โดยเฉพาะประเทศเวเนซุเอลาและหลายประเทศในแอฟริกา ยุโรปตะวันออก ทำให้ดัชนีความทุกข์ยากอาจเพิ่มสูงขึ้นอย่างรุนแรง โดยประเทศเวเนซุเอลานั้น ดัชนีความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจเคยสูงทะลุระดับ 490 จุดมาต่อเนื่องหลายปีและเกิดอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงรุนแรง (Hyperinflation)
ส่วนกรณีของไทยนั้นสถานการณ์ยังดีกว่าหลายประเทศ แม้ดัชนีทุกข์ยากจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแน่ และอาจสูงกว่าระดับ 4 แต่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับหลายประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ไทยไม่ควรปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อสูงกว่า 3% และ อัตราการว่างงานสูงกว่า 2% ทั้งนี้ หากปล่อยให้อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น 1% จะทำให้อัตราการขยายตัวของจีดีพีต่ำกว่าผลผลิตระดับศักยภาพ หรือ ศักยภาพการผลิตสูงสุดที่ประเทศสามารถผลิตได้ โดยมีการใช้ทรัพยากรและปัจจัยการผลิตอย่างเต็มประสิทธิภาพ และไม่ก่อให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ