ตลาดบ้านเดือด!แห่เปิดตัวโครงการใหม่โค้งสุดท้าย
ตลาดบ้านเดือนพล่าน! บิ๊กเนมแห่ เปิดตัวโครงการใหม่ทิ้งทวน2เดือนสุดท้ายหลังคลายล็อกมาตรการแอลทีวี- เปิดประเทศ บริทาเนีย เปิดรวดเดียว6 โครงการมูลค่ากว่า4พันล้านบาทเสนาฯส่งทาวน์โฮมติดโซลาร์ ลงย่านเทพารักษ์ -บางบ่อขณะที่ลลิลปั้นแบรนด์ไลโอ เพรสทีจหวังแจ้งเกิด
นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) เผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4/2564 ที่มีแนวโน้มฟื้นตัว หลังจากรัฐบาลได้ประกาศนโยบายเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย.นี้และเตรียมพิจารณาผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เพิ่มขึ้น ประกอบกับภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ที่มีความต้องการอย่างต่อเนื่อง และเป็นเรียลดีมานด์ ซึ่งผู้บริโภคซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง
จากสถานการณ์ข้างต้น บริษัทจึงวางแผนรุกเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบในช่วงปลายปีนี้ 6 โครงการ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด รวมมูลค่าโครงการ 4,300 ล้านบาท เพื่อตอบสนองความต้องการซื้อบ้านของผู้บริโภคในช่วงโค้งสุดท้ายที่คาดว่าจะกลับมาคึกคักขึ้น
โดยบริษัท ได้เปิดตัวโครงการ 6 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการไบรตัน บางปะกง ทาวน์โฮมอิสระเพดานสูง 2.8 เมตร หน้ากว้าง 8 เมตร กว้างที่สุดในย่านบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 211 ยูนิต ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 2.5 – 4 ล้านบาท โดยมีมูลค่าโครงการรวม 650 ล้านบาท บนทำเลติดทางด่วน (มอเตอร์เวย์ บูรพาวิถี) ตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมหรือละแวกใกล้เคียงและการขยายตัวของเมืองจากการพัฒนาโครงการ EEC
2. โครงการบริทาเนีย แพรกษา สเตชั่นประกอบด้วย ทาวน์โฮมและบ้านแฝด 197 ยูนิต ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 2.89 ล้านบาท โดยมีมูลค่าโครงการรวม 850 ล้านบาท
3. โครงการบริทาเนีย ติวานนท์ – ราชพฤกษ์ ที่สุดแห่งสังคมส่วนตัวเพียง 122 ยูนิต บนทำเลติดถนนใหญ่สายกรุงเทพฯ – ปทุมธานี ใกล้ทางด่วน (ด่านศรีสมาน) ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 6 ล้านบาทมูลค่า 700 ล้านบาท
4. โครงการแกรนด์ บริทาเนีย นนทบุรี สเตชั่น ใกล้รถไฟฟ้า MRT สถานีแยกนนทบุรี 1 ประกอบด้วย บ้านแฝดและบ้านเดี่ยว จำนวน 62 ยูนิต ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 7 – 11 ล้านบาท โดยมีมูลค่าโครงการรวม 550 ล้านบาท
5. โครงการแกรนด์ บริทาเนีย บางนา - สุวรรณภูมิ ประกอบด้วย บ้านแฝดและบ้านเดี่ยว จำนวน 107 ยูนิต ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 6.99 – 11 ล้านบาท โดยมีมูลค่า 700 ล้านบาท
6. โครงการแกรนด์ บริทาเนีย พระราม 9 - กรุงเทพกรีฑา เป็นบ้านเดี่ยว 96 ยูนิต ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 8.99 - 15 ล้านบาท โดยมีมูลค่าโครงการรวม 850 ล้านบาท
นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ขณะนี้บริษัทได้ร่วมมือกับ บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ซึ่งเป็นพันธมิตรธุรกิจที่แข็งแรงพัฒนาโครงการร่วมกันมานาน 5 ปี โดยแตกไลน์ขยายการลงทุนพัฒนาโครงการแนวราบ ( ทาวน์โฮม) ร่วมกันเป็นครั้งแรก และโครงการแรกในย่านเทพารักษ์ - บางบ่อมูลค่า 1,020 ล้านบาท บนเนื้อที่กว่า 39 ไร่เศษ เพื่อพัฒนาทาวน์โฮมพรีเมี่ยม 2 ชั้น แบ่งเป็นแบบบ้าน THEE Plus หน้ากว้าง 5.70 เมตร พื้นที่ใช้สอย 126.74 ตารางเมตร และ THEE Plus หน้ากว้าง 7.7 เมตร พื้นที่ใช้สอย 139.69 ตาราเมตร 4 ห้องนอน 3 ห้องนอน ที่จอดรถ 2 คัน รวมทั้งหมด 298 หลัง ระดับราคาเริ่มต้น 2.99 – 4 ล้านบาท
ภายใต้คอนเซ็ปต์ บ้านแนวคิดใหม่ ..... กว่าเท่าบ้านเดี่ยว ชาร์พลังชีวิตกับฟังก์ชันพิเศษ ด้วยการนำเอาแนวคิด Geo Fit+ การพัฒนาที่อยู่อาศัยสไตล์ญี่ปุ่นของฮันคิว ฮันชินที่สอดรับกับแนวคิด Made From Her ที่ใส่ใจทุกรายละเอียดมาประยุกต์ปรับใช้ให้เหมาะสมกับสไตล์คนไทย ภายในตัวบ้านดีไซน์กว้างขวางเท่ากับบ้านเดี่ยว ฟังก์ชันพิเศษกับ 4 ห้องนอนและห้องน้ำในตัว ตอบโจทย์ครอบครัวใหญ่ เพดานห้องนอน สูง 3 เมตรมีหน้าต่างขนาดใหญ่ พร้อม Walk in – Closet เพิ่มเติมพื้นที่ด้านข้าง รองรับกิจกรรม หรือ ปาร์ตี้เล็ก ๆ ภายในครอบครัว อีกจุดไฮไลท์ของ เสนา เวล่า เทพารักษ์ - บางบ่อติดตั้งโซลาร์ขนาด 2 กิโลวัตต์ให้บ้านทุกหลัง สามารถใช้ไฟฟ้าฟรีตลอด 25 ปี*คุ้มค่าและประหยัดในการใช้จ่าย
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ผ่อนคลายมาตรการแอลทีวีให้ผู้ซื้อบ้านสามารถกู้ได้เต็ม 100% ของมูลค่าหลักประกันจนถึงสิ้นปี 2565 ในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีถือเป็นช่วงไฮซีซันที่ผู้บริโภคนิยมซื้อบ้าน จึงถือเป็นสัญญาณบวกในการนำเสนอ 2 โครงการใหม่ทั้งในเขตกทม.และปริมณฑล ด้วยการพัฒนาทาวน์โฮมแบรนด์ ‘ไลโอ เพรสทีจ’ ระดับราคา 2.7-3 ล้านบาทในทำเลโซนรัตนาธิเบศร์ – เวสต์เกต พัฒนาโครงการ มูลค่า 500 ล้านบาท รวม 165 ยูนิต บนพื้นที่ 17 ไร่ เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มเรียลดีมานด์กว้างขึ้น
" คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจากแนวโน้มตลาดเริ่มฟื้นตัวจากจากการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจ เมื่อกำลังซื้อเริ่มค่อยๆกลับสู่ภาวะปกติ ก็ทำให้ภาคธุรกิจเริ่มดำเนินกิจกรรมทางการตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งเริ่มเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ต้นไตรมาส 4 ของปี 2564 และจะต่อเนื่องไปจนถึงปี 2565"