ธุรกิจตั้งใหม่“อีอีซี”ฝ่าโควิด19 เดือนจดทะเบียนโต 4.1%

ธุรกิจตั้งใหม่“อีอีซี”ฝ่าโควิด19 เดือนจดทะเบียนโต 4.1%

พาณิชย์ เผย จัดตั้งธุรกิจใหม่ในอีอีซี 5,081 ราย เพิ่ม 4.41 % ระยองเนื้อหอมต่างชาติลงทุนมากสุด ด้าน“ทศพล ทังสุบุตร “ชี้การเปิดประเทศและผู้ได้รับวัคซีนในไทยที่เพียงพอ เป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นในไตรมาส 4

เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นพื้นที่การลงทุนสำคัญของประเทศครอบคลุมจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยอง โดยในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงมีการขยายธุรกิจทั้งในภาคการผลิต ภาคบริการและภาคค้าส่งค้าปลีก ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ชะลอตัวจะเป็นอีกปัจจัยที่จะสนับสนุนการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในระยะต่อจากนี้

กรมพัฒนาธุรกิจการค้ารายงานการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 (ม.ค.-ก.ย.) มีการตั้งธุรกิจใหม่ 5,081 ราย ทุนจดทะเบียน 14,837 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันกับปี 2563 ที่มี 4,879 ราย ขยายตัวเพิ่มขึ้น 4.14% ในขณะที่จำนวนทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 14,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.38%

"ทศพล ทังสุบุตร" อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า การเพิ่มของจำนวนการจดทะเบียนนิติบุคคลจัดตั้งใหม่และนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ใน 3 ไตรมาส ปี 2564 ในอีอีซีสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของการจดทะเบียนนิติบุคคลทั่วประเทศ 

อย่างไรก็ตามนโยบายการเปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และจำนวนผู้ได้รับวัคซีนในประเทศที่เพียงพอจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นที่ดีในไตรมาส  4 ปี 2564 ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบธุรกิจจึงควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อเนื่องเพราะจะมีผลต่อปัจจัยการดำเนินธุรกิจ

การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 645 ราย เพิ่มขึ้น 12.69% ทุนจดทะเบียน 2,647 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.84% ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 465 ราย เพิ่มขึ้น 9.15% ทุนจดทะเบียน 1,092 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.36 % และ ธุรกิจขนส่ง ขนถ่ายสินค้ารวมถึงผู้โดยสาร 214 ราย เพิ่มขึ้น 4.21% ทุนจดทะเบียน 270 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.82%

ในขณะที่จำนวนนิติบุคคลคงอยู่ในอีอีซี ณ วันที่ 30 ก.ย.2564 มีจำนวน 75,155 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 1.50 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น ชลบุรี 54,394 ราย คิดเป็นสัดส่วน 72.38% รองลงมาเป็นระยอง 14,492 ราย คิดเป็นสัดส่วน 19.28% และฉะเชิงเทรา 6,269 ราย คิดเป็น 8.34% ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจบริการ สัดส่วน 60.36% รองลงมา คือ การขายส่งขายปลีก สัดส่วน 24.57% และการผลิต สัดส่วน 15.07%

 

ส่วนการลงทุนของต่างชาติในนิติบุคคลไทยที่จัดตั้งในไทยสะสมมีมูลค่าทั้งสิ้น 822,634 ล้านบาท คิดเป็น 54.49% ของทุนทั้งหมด แบ่งเป็น “ญี่ปุ่น” มีสัดส่วนมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 46.61% มูลค่าการลงทุน 383,438 ล้านบาท โดยนักลงทุนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมอื่นสำหรับยานยนต์ รองลงมาเป็นธุรกิจผลิตอะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม และธุรกิจผลิตยางล้อและยางในมูลค่าการลงทุน

รองลงมา คือ จีน สัดส่วน 12.41% มูลค่าการลงทุน 102,108 ล้านบาท สิงคโปร์ มีสัดส่วนคิดเป็น 5.53% มูลค่าการลงทุน 45,506 ล้านบาท ฮ่องกง สัดส่วน 3.98%  มูลค่าการลงทุน 32,708 ล้านบาท ไต้หวัน สัดส่วน 3.04% มูลค่าการลงทุน 25,046 ล้านบาท และกลุ่มประเทศอื่นๆ สัดส่วน 28.43% มูลค่าการลงทุน 233,826 ล้านบาท

ส่วนพื้นที่การลงทุนพบว่า ระยอง เป็นจังหวัดที่มีการลงทุนจากต่างชาติสูงสุดคิดเป็นสัดส่วน 52.55% มูลค่า 432,314 ล้านบาท รองลงมา คือ ชลบุรี สัดส่วน 37.62% มูลค่าการลงทุน 309,459 ล้านบาท และฉะเชิงเทรา สัดส่วน 9.83 % มูลค่าการลงทุน 80,861 ล้านบาท

ฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนภาพรวมในอีอีซีหลังโควิด-19 เชื่อว่าประเทศไทยจะยังคงมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 จะเห็นการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีน ซึ่งมีปัญหาด้านโลจิสติกส์จากการกระจุกตัวของฐานการผลิต โดยบริษัทต่างชาติที่ลงทุนในจีนได้ย้ายฐานการผลิตและมองประเทศไทยเป็นอีกที่ที่น่ามาลงทุน ซึ่งถือเป็นโอกาสให้ประเทศไทยได้มีการขยายตัวการลงทุน

“แนวโน้มการลงทุนในอีอีซียังไปได้ดีและเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายจะเห็นภาพการลงทุนมากขึ้น แต่การย้ายฐานการลงทุนควรจะเน้นการลงทุนที่นำมลพิษเข้ามาประเทศไทยด้วย”

สุรัช พัฒนวงศ์ยืนยง ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมยังมีปัจจัยบวกจากโอกาสที่นักลงทุนชาวจีนกำลังขยายฐานการผลิตและพุ่งเป้ามาที่อาเซียนตามนโยบายผลักดันของรัฐบาล เนื่องจากการใช้พลังงานของโรงงานเริ่มไม่เพียงพอ ในขณะที่ประเทศไทยพบว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ยังมีไฟฟ้าสำรองเหลือใช้ 40%

“จากการพูดคุยกับนักลงทุนชาวจีน เขามีการพิจารณาไทยกับเวียดนาม ซึ่งไทยมีความได้เปรียบเวียดนามเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นดีมาโดยตลอด อีกทั้งการลงทุนในอีอีซีนักลงทุนชาวต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้ 100% ต่างจากประเทศอื่นที่ให้สิทธิเช่าระยะยาวเท่านั้น ทั้งยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่บีโอไอได้กำหนดไว้”

รวมทั้งนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ มีข้อได้เปรียบด้านที่ตั้งใกล้ถนนทางหลวงสำคัญ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่กำลังมีการพัฒนา ได้แก่ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 โครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา)