PTTEP ธุรกิจน้ำมันต้นน้ำ ทำกำไรโตดันมูลหุ้น
ครึ่งปีหลัง 2564 ทิศทางราคาน้ำมันโลก-ราคาพลังงานอื่นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิตินิวไฮ ท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการเข้าฤดูหนาวทำให้ปริมาณการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นตามไปด้วยส่งผลดีต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันโดยตรง บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ( PTTEP)
โดยมีการคาดการณ์กำไรในช่วงไตรมาส 3 จนไปถึงไตรมาส 4 ปี 2564 จะเห็นตัวเลขกำไยังเติบโตต่อเนื่องตามทิศทางราคาน้ำมัน และราคาก๊าซ ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ PTTEP ประเมินการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือน พ.ย.นี้ของไทยจะเป็นผลดีต่อการใช้พลังงานให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น
เมื่ออิงจากราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดการณฺว่าในระยะยาวน่าจะกลับมาเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 65-75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากดีมานด์และซัพพลายเข้าสู่จุดสมดุลส่วนทิศทางราคาน้ำมันในประเทศไทยยังคงเคลื่อนไหวตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีความผันผวนตามความต้องการใช้และกำลังการผลิตน้ำมันของโลกในแต่ละช่วงเวลา แต่คาดว่าใน 4-5 ปีข้างหน้าราคาน้ำมันน่าจะกลับมามีเสถียรภาพมากขึ้น ภายหลังจากเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัว
จุดได้เปรียบของปตท. สผ. คือการทำธุรกิจต้นน้ำการขุดเจาะพลังงาน มีทั้งแหล่งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ซึ่งในปี 2563 สัดส่วนการผลิตอยู่ที่ 395,028 บาร์เรลต่อวัน แบ่งเป็นน้ำมัน 128,690 บาร์เรลต่อวัน มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 41.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ LNG 266,338 บาร์เรลต่อวัน มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 6.27 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ซึ่งถือว่าเป็นปีที่เจอผลกระทบด้านราคาพลังงานตกต่ำเป็นอย่างมากจนกระทบผลการดำเนินงานของ PTTEP
ส่งผลทำให้ต้องมีการปรับคาดการณ์ปริมาณการขายปี 2564 อยู่ที่ 3.75 แสนบาร์เรลต่อวัน จากเดิมคาดไว้ 4 แสนบาร์เรลต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากปริมาณขุดเจาะที่มาเลเซียลดลง
รวมไปถึงการเพิ่มธุรกิจใหม่ๆในมือ โดยเฉพาะธุรกิจ LNG ผ่านการทำร่วมทุน กับพันธมิตร; และ ธุรกิจพลังงานทดแทน (Gas-to-Power ที่เมียนมา, โครงการ Renewable) และธุรกิจ AI & Robotics Venture (ARV) เพื่อเพิ่มรายได้เป็น 20 % ข้างหน้า
อย่างไรก็ตามปี 2564 ราคาพลังงานปรับทิศทางกลายเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง (26ต.ค.) โดยราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าในตลาดเบรนท์ ( BRENT) 84.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปรับตัวขึ้นมา 68 % จากปีก่อน,ราคาน้ำมันดิบในตลาดเวสต์เท็กซัส (WTI) 84.61ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปรับตัวขึ้นมา 67% จากปีก่อน และตลาดน้ำมันดิบดูไบ (Dubai) 82.22 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปรับตัวขึ้นมา 58% จากปีก่อน
ทั้งนี้ยังมีการคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบสามารถยืนในระดับที่แข็งแกร่งจากอุปสงค์การใช้พลังงานที่สูงขึ้นทั่วโลก และคาดว่า OPEC+ จะเพิ่มกำลังการผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้งมีการเติบโตของปริมาณการขายที่ชัดเจนในอีก 2 ปี ข้างหน้า คือคาดราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ 67.1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ 66.0 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในอีก 2 ปี ข้างหน้า เทียบกับราคาเฉลี่ย 42.3 ดอลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2563
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทรีนีตี้ คาดบริษัทรายงานกําไรสุทธิ ไตรมาส 3 ปี 2564 (ประกาศ29 ต.ค. 2564 ) อยู่ที่ 8.7 พันล้านบาท (+22% YoY, +23% QoQ) โดยนับรวมสวนของผลขาดทุนจาก Oil Hedging ซึ่งอยู่ที่ราว 1.3 พันล้านบาท ส่งผลให้กําไรปกติในไตมาสดังกล่าวจะอยู่ที่ราว 1 หมื่นล้านบาท
จากการประเมินแนวโน้มราคานํามัน ในช่วงที่เหลือของปีมีโอกาสทรงตัวสูงอยู่ในระดับ 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่อไป จากความต้องการใช้น้ำมันในการเดินทางที่สูงขึ้น รวมถึงการใช้เป็นเชื้อเพลิงในการสร้างความร้อน หลังสภาวะ La Nina ทําให้เกิดความหนาวเย็นมากกว่าปกติ ซึ่งน่าจะทําให้ผลการดําเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาส 4 ปี2564 จะยังอยู่ในเกณฑ์ดีต่อไปได้ คงคําแนะนํา “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 160 บาท
ขณะที่ บล.คันทรี กรุ๊ป คาดว่า PTTEP จะมีกำไรสุทธิในในไตรมาสดังกล่าวที่ 10.1 พันล้านบาท (+40% YoY, +41% QoQ) การเพิ่มขึ้นจากการ เติบโตของปริมาณขายและราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่เพิ่มขึ้น +20% และ +13% ตามลำดับ ในขณะที่การเติบโต จากไตรมาสก่อนจะเกิดจากการขาดทุนที่ลดลงจากการ ป้องกันความเสี่ยงที่คาดไว้ในไตรมาส 3 ที่ 40 ล้านดอลลาร์เทียบกับ 127ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ปี2564
อย่างไรก็ตามในมุมองของ บล.ไทยพาณิชย์ สวนทางเมื่อราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ 90 บาร์เรลต่อตันซึ่งเป็นระดับที่มองว่าผลตอบแทนต่อความเสี่ยงเริ่มไม่คุ้มค่าแนะนำทยอยขาย ทำกำไร PTTEP