ทรีนีตี้ มองกรอบหุ้นไทยเดือนพ.ย. ดัชนี 1,580 – 1,660 จุด
“ทรีนีตี้” ให้กรอบลงทุนหุ้นเดือน พ.ย.ที่ระดับดัชนี 1,580 – 1,660 จุด แนะลงทุนหุ้น 4 กลุ่ม REIT ค้าปลีก ขนส่ง ท่องเที่ยว รับความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นและการเปิดเมือง
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า กลยุทธ์การลงทุนประจำเดือน พ.ย.ประเมินว่า SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,580 – 1,660 จุด โดยหากดัชนียังคงแกว่งอยู่บริเวณกึ่งกลางของกรอบที่ให้ไว้ มองว่านักลงทุนสามารถที่จะจำกัดการซื้อขายของตนเองได้ และแนะนำเพียงถือครองหุ้นในสัดส่วนเดิมต่อไป โดยหากระหว่างเดือนดัชนี มีการปรับขึ้นไปบริเวณกรอบบนที่ระดับ 1,650-1,660 จุดแนะนำให้ใช้จังหวะดังกล่าวในการลดพอร์ต ในทางกลับกัน หากดัชนีปรับลงมาแถวบริเวณกรอบล่างที่ระดับ 1,580 จุด ให้ใช้บริเวณดังกล่าวในการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นได้ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในเดือน พ.ย.2564 คือระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่จะมีผลต่อไปยังคาดการณ์เงินเฟ้อและคาดการณ์ดอกเบี้ยในตลาดโลก ซึ่งหากยังคงพุ่งสูงต่อเนื่องอีก จะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นในภาพรวมได้
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องติดตามการประชุมร่วมของสมาชิกกลุ่ม OPEC+ ในวันที่ 4 พ.ย.นี้ ว่าจะมีการคงระดับการคืนกำลังการผลิตเข้าสู่ตลาดวันละ 4 แสนบาร์เรลต่อไปหรือไม่ หากคงไว้ที่ระดับดังกล่าวจริง ราคาน้ำมันมีโอกาสยืนในระดับสูงต่อไปได้ ซึ่งอาจจะทำให้ระดับเงินเฟ้อในตลาดอยู่สูงต่อไป จนสร้างความกังวลต่อประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกเร็วกว่ากำหนด
ขณะที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) วันที่ 2-3 พ.ย.นี้ มีโอกาสสูงที่เฟดจะประกาศเริ่มการลดวงเงิน QE (Tapering) อย่างเป็นทางการที่ระดับเดือนละ 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แบ่งเป็น Treasury เดือนละ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ และMBS เดือนละ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้โครงการดังกล่าว ไปสิ้นสุดลงในเดือนมิ.ย.ปีหน้า แต่ปัจจัยดังกล่าวเป็นสิ่งที่อยู่ในคาดการณ์ของตลาดไปเกือบหมดแล้ว จึงไม่น่ามีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด
สำหรับกลุ่มหุ้นแนะนำประจำเดือน พ.ย.นี้ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ 1.กลุ่ม Property Fund & REIT โดยแนะนำลงทุนที่น้ำหนัก 10% ของพอร์ต ผ่านกองทุนรวมในประเทศที่กระจายการลงทุนไปยังหุ้นต่างๆ ใน Sector นี้ มองเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนตามธีม Reopening มากที่สุด ณ เวลานี้ จากระดับราคาที่ยังคง Laggard อย่างมาก และมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
2.กลุ่มค้าปลีกที่ได้ประโยชน์จากความเชื่อมั่นผู้บริโภค และคาดการณ์รายได้ในอนาคตที่สูงขึ้น ได้แก่ CRC, GLOBAL
3.กลุ่มขนส่ง ร้านอาหาร และโรงภาพยนตร์ ที่ได้ประโยชน์จากการออกมาสัญจรของผู้คนที่มากขึ้น สะท้อนผ่านดัชนี Google mobility ในกลุ่ม Retail & Recreation ที่ล่าสุดมีพัฒนาการเชิงบวกต่อเนื่อง ได้แก่ BEM, BTS, M, MAJOR
4.กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว หลังคาดว่าจะเริ่มมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามามากขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้ แม้ว่าในแง่ของจำนวนคงจะไม่มีนัยสำคัญในช่วงแรก แต่ด้วยราคาหุ้นบางตัวที่ยังคงต่ำกว่าช่วง Pre-Covid อยู่ค่อนข้างมาก จึงมองว่ามี Risk-Reward ในระดับที่น่าสนใจ ได้แก่ AOT, AWC, ERW
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่ต้องติมตามคือ การประกาศปรับเปลี่ยนรายชื่อสมาชิกรอบใหม่ของดัชนี MSCI ทั่วโลก ซึ่งในส่วนของประเทศไทยนั้น ประเมินหุ้น 3 ตัวที่มีโอกาสถูกนำเข้าสู่ดัชนี MSCI Thailand Standard Index ในรอบถัดไป เรียงตามลำดับความน่าจะเป็น จะได้แก่ TTB, KCE, GLOBAL ดังนั้นสำหรับนักลงทุนระยะสั้น มองว่าสามารถซื้อเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มนี้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนและหาจังหวะ Sell on fact หลังจากการประกาศผลของ MSCI ในช่วงเช้าตรู่วันที่ 12 พ.ย.นี้ได้
ขณะที่ปัจจัยระยะสั้นที่เกิดขึ้นล่าสุดได้แก่ ผลการเลือกตั้งทั่วไปของญี่ปุ่นที่ออกมาไม่ได้มีอะไร Surprise ในทางลบ โดยพรรคร่วมรัฐบาลยังคงสามารถครองเสียงข้างมากในสภาล่างได้ต่อไป ส่งผลให้การสานต่อทางด้านนโยบายมีแนวโน้มเป็นไปอย่างราบรื่น และทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นตอบรับเชิงบวกอย่างสำคัญในช่วงต้นสัปดาห์นี้
ในทางกลับกัน ตัวเลขภาคการผลิตของจีนประจำเดือน ต.ค.ที่ออกมาล่าสุดปรากฏว่าอยู่เพียงระดับ 49.2 ต่ำกว่าเดือนก่อนและต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยระดับยอดคำสั่งซื้อใหม่หรือ New orders ยังคงตกลงอย่างต่อเนื่อง มองเป็นปัจจัยกดดันต่อภาคการส่งออกของไทยโดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมที่ส่งออกไปจีนต่อไป