“เกรทวอลล์”มั่นใจตลาด“EV” หนุนไทยเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
หลังจาก “เกรท วอลล์ มอเตอร์” เปิดโรงงานเต็มรูปแบบแห่งที่ 12 ที่ จ.ระยอง และถือเป็นโรงงานนอกประเทศจีนแห่งที่ 2 เป็นเป็นหมุดหมายสำคัญของการดำเนินธุรกิจยานยนต์ในประเทศไทย โดยเฉพาะการเข้ามาทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV)
บริษัทฯมั่นใจว่าตลาดมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งจะเป็นอีกแนวทางที่จะผลักดันให้ประเทศเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจสีเขียวในประเทศ
ณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า การผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ "Circular economy" ไม่ใช่เรื่องของกระแสที่เกิดขึ้นแค่เพียงชั่วคราวแต่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญในเรื่องของการขับเคลื่อนธุรกิจในปัจจุบันและอนาคต โดยในภาคของอุตสาหกรรมรถยนต์มาถึงเรื่องของแนวคิด การพัฒนานวัตกรรม การวิจัยและการพัฒนา (R&D) รวมทั้งการลดการปล่อยของเสียในกระบวนการการผลิตให้เป็นศูนย์ได้ในที่สุด
ทั้งนี้ในการทำตลาดรถยนต์ของบริษัทฯ ได้มีจากการสำรวจความต้องการของลูกค้าในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลพบว่าลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่มีการซื้อรถยนต์โดยให้ความสำคัญกับ “กระแสรักษ์โลก” หมายความว่าผู้ซื้อรถยนต์เริ่มมีการตัดสินใจเลือกซื้อจากเหตุผลว่าเป็นยานพาหนะที่ใช้พลังงานสะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
รวมทั้งแนวโน้มการเติบโตในประเทศไทยมีกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสินค้าที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมากจากข้อมูลนี้ทำให้ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเป็นพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยในการทำการตลาดและนำเสนอผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ให้กับลูกค้าเช่นกัน
“ผู้ซื้อมีความเข้าใจว่าการรักษ์โลกนั้นมีราคาที่สูงขึ้น ซึ่งต้องมีโจทย์ต่างๆเพิ่มขึ้นมาด้วย ซึ่งภาครัฐอาจมีกลไกเข้ามาช่วยสนับสนุนเพื่อให้ในส่วนของราคาที่เพิ่มขึ้นนั้นสามารถจูงใจให้คนที่จ่ายตัดสินใจได้ง่ายขึ้น”
สำหรับแนวทางการสนับสนุน Circular economy ของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้มีการดำเนินการในหลายด้านอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีแบรนด์ที่มีรถยนต์ไฟฟ้าที่สอดคล้องกับนโยบายการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยที่ต้องการเป็ฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของไทยที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าไว้ที่ 30% ภายในปี 2030
นอกจากนี้บริษัทยังมีการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อรองรับในเรื่องการใช้ประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับ Circular Economy คือแพลตฟอร์มที่เรียกว่า GWM LEMON Platform เพื่อเข้ามาช่วยเหลือลูกค้าที่ใช้งานรถยนต์ของบริษัท
ขณะที่ในแง่ของการตลาด บริษัทฯ มีการนำเสนอการขายรถยนต์แบบราคาเดียว (One price) เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเดินทางไปที่โชว์รูมหลายแห่งเพื่อทดลองขับขี่ และมีการใช้ระบบการให้ข้อมูลและการให้บริการผ่านระบบจาก Offline เป็น Online ซึ่งลูกค้าดาวโหลดแอพพลิเคชั่นนี้แล้วมากถึง 40,000 ราย การบริการจะครอบคลุมการให้บริการที่หลากหลายตั้งแต่การซื้อรถ การทดลองขับรถ การส่งรถตรวจสอบสภาพ เป็นต้น ซึ่งช่วยลดการเดินทางออกจากบ้านซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ สอดคล้องกับในเรื่องของ Circular Economy ได้
“บริษัทฯ มีความมั่นใจว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน และเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ทุกฝ่ายคาดการณ์ไว้ โดยมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดในประเทศไทยในตอนนี้ การเปลี่ยนผ่านไม่ชัดเจนเหมือนกับการเปลี่ยนผ่านในประเทศจีนเมื่อ 10 ปี ก่อนที่ตลาดรถยนต์เปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว”
ทั้งนี้บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าเป้าหมายของภาครัฐที่จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้ได้ 30% ของการผลิิตรถยนต์ภายในประเทศ ภายในปี ค.ศ.2030 จะสามารถไปถึงเป้าหมายดังกล่าวได้แน่นอน โดยนอกจากตลาดในประเทศที่รองรับยังมีองค์ประกอบที่สำคัญที่ภาครัฐควรส่งเสริม เช่น เรื่องของกฎหมายและนโยบายรัฐ การเพิ่มโครงสร้างพื้นฐานรวมทั้งสถานีชาร์จที่รองรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของประชาชน การเพิ่มการรับรู้และการตระหนักของสาธารณะในเรื่องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน การกระตุ้นให้เกิดอุปสงค์และอุปทานของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้มากขึ้น
รวมทั้งการเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีและที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อกระตุ้นความต้องการใช้รถ EV ให้เพิ่มขึ้น รวมไปถึงการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากร และการเตรียมความพร้อมของบุคลากรในประเทศให้รองรับกับอุตสาหกรรมรถ EV
“เชื่อว่าการปรับเปลี่ยนจะเชื่อว่าใน 1-2 ปีนี้ จะเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญเพราะปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้การชาร์จ 30 นาที วิ่งได้ 500 กิโลเมตร เป็นระยะทางที่คนตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้น และหากมีมาตรการการสนับสนุนที่เหมาะสมจากภาครัฐจะทำให้การเปลี่ยนผ่านทำได้รวดเร็วมากขึ้น”
สำหรับการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์สันดาปมาเป็นการสร้างการปรับเปลี่ยนไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าภาครัฐจะต้องสร้างการรับรู้ การปรับปรุงกฎระเบียบให้มีการปรับเปลี่ยนไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว และผู้บริโภคจะมีการเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องของ Circular Economy ได้มากขึ้นและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
“บริษัทมีเป้าหมายว่าในปี ค.ศ.2025 ว่าจะขายรถได้ 4 ล้านคัน โดย 80% จะเป็นการจำหน่ายรถที่มาจากพลังงานสะอาด โดยให้ความสำคัญในการวิจัยและการพัฒนาซึ่งมีการลงทุนในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง"
ทั้งนี้ เกรทวอร์มอเตอร์มีการให้ความสำคัญกับการวิจัยพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการลงทุนอีกอย่างน้อย 5,000 ล้านหยวนเพื่อมีการวิจัยในเรื่องเซลล์เชื้อเพลงอย่างเต็มรูปแบบ และจะมีการลงทุนต่อเนื่องเพื่อขึ้นมาเป็นผู้นำในเรื่องรถที่ใช้เชื้อเพลิงนี้ รวมทั้งเตรียมที่จะเปิดตัว DAYU แบตเตอรี่ในปีหน้าที่มีประสิทธิภาพ และความปลอดภัยสูงมาก”