PTTGC มั่นใจปี 65 รายได้โตตามเป้า จ่อปิดดีล M&A สหรัฐ
PTTGC คาดรายได้ปี 65 ยังโตต่อเนื่อง เหตุ รับรู้ผลการดำเนินงาน หลังปิดดีลซื้อกิจการ “ออลเน็กซ์ โฮลดิ้ง” ภายในปี 64-เข้าเทนเดอร์หุ้น “วีนิไทย” เดือน ธ.ค.นี้ เผยอยู่ระหว่างศึกษาโครงการลงทุนใหม่ในสหรัฐ คาดชัดเจนปีหน้า พร้อมศึกษาต่อยอดธุรกิจอื่นๆ ในสหรัฐ
นายจิตศักดิ์ สุนทรพันธุ์ ผู้จัดการฝ่ายหน่วยงานการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า การเข้าซื้อกิจการของ Allnex Holding GmbH (Allnex) ของบริษัท มูลค่ากว่า 1.48 แสนล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2564 และจะเริ่มรับรู้รายได้เต็มปีครั้งแรกในปี 2565 หรือตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2565 เป็นต้นไป
ขณะที่การเข้าซื้อกิจการของ บมจ.วีนิไทย (VNT) หากได้รับการอนุมัติจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คาดว่าจะเริ่มดำเนินการซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดได้ตามแผนในเดือน ธ.ค.2564 และคาดว่ากระบวนการตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้น (ทำเทนเดอร์) จะแล้วเสร็จในช่วงเดือน ก.พ.2565 และจะเริ่มรับรู้รายได้ของ VNT ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นภายหลังจากจบกระบวนการ
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 4 ปี 2564 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องตามปริมาณการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยได้ปัจจัยหนุนจากแนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจในหลายภาคส่วน ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง การกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพิ่มขึ้น และการกลับมาเปิดประเทศ โดยคาดว่ารายได้ปี 2564 จะยังเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 8-10%
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2565 คาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน แม้จะมีปัจจัยกดดันจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงานหลายแห่ง และปัจจัยกดดันจากที่บริษัทรับรู้รายได้พิเศษจากการขายหุ้น บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาทในปีนี้ อย่างไรก็ดี คาดว่าความต้องการใช้พลังงานจะเพิ่มขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว
นอกจากนี้ รายได้ในปีหน้ายังได้ปัจจัยหนุนจากกำลังการผลิตใหม่ที่จะเข้ามาเสริมในพอร์ต ซึ่งคาดว่าจะหนุนให้ปริมาณการขายในปี 2565 เพิ่มขึ้นราว 7% จากปีนี้ รวมถึงปัจจัยหนุนการรับรู้รายได้ผลกำไรจาก Allnex เต็มปี และส่วนแบ่งรายได้ VNT ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานให้เติบโตได้ตามเป้าหมายปีละ 4% ในช่วง 5-6 ปีต่อจากนี้ (2565-2570)
นายจิตศักดิ์ กล่าวว่า มองไปข้างหน้า บริษัทยังมีแผนลงทุนโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง (High Value Business) รวมถึงมองหาโอกาสต่อยอดธุรกิจในสหรัฐ นอกเหนือจากโครงการลงทุนที่อยู่ระหว่างพูดคุยกับพันธมิตร 1 รายซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 2565 และสุดท้ายคือการลงทุนผ่านกองทุนของบริษัท (CVC) เน้นลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
สำหรับแผนการใช้เงินของบริษัทในระยะเวลา 5 ปี (2564-2568) บริษัทตั้งงบลงทุนมูลค่ากว่า 1.8 แสนล้านบาท เช่น ลงทุนในโครงการลงทุนสำคัญของบริษัท (Key Projects) อย่างโครงการพอลิเอไมด์ชนิดพิเศษ (Super Engineering Plastic) ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับ บริษัท คุราเร่ จีซี แอดวานซ์ แมททีเรียลส์ จำกัด (KGC) 1.5 พันล้านบาท ฯลฯ