"เดอะมอลล์" เร่งเคลื่อน ศก.ดิจิทัล ผนึก "บิทคับ" ดันไทยฮับลงทุน-ท่องเที่ยว
ยักษ์ค้าปลีก “เดอะมอลล์” ผนึก “บิทคับ” สตาร์ทอัพยูนิคอร์นเนื้อหอมแห่งยุค ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ยกระดับไทยศูนย์กลางการลงทุนและท่องเที่ยวแห่งเอเชีย พร้อมรีโพสิชันนิ่งเปลี่ยนกฎใหม่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว เจาะกลุ่มทัวริสต์คุณภาพกำลังซื้อสูง เศรษฐีคริปโตฯ
ชี้ธุรกิจยุคใหม่ต้องเร่งทรานส์ฟอร์มปรับตัวรับ “เอ็กซ์โปเนนเชียล เคิร์ฟ” เพื่อความอยู่รอด แนะเล่นเกมใหม่รวมพลังผลักดันประเทศไทยก้าวสู่ฮับ “ผู้ประกอบการนาโน” แห่งอาเซียน
ทุนค้าปลีกสัญชาติไทยยักษ์ใหญ่ “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” และพันธมิตรธุรกิจ “บิทคับ” (bitkub) สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น พร้อมผนึกความร่วมมือภาครัฐและเอกชนครอบคลุมเซ็กเตอร์ท่องเที่ยว บริการ และอสังหาริมทรัพย์ ประกาศความร่วมมือในการสร้างปรากฏการณ์แห่ง “เศรษฐกิจดิจิทัล” อย่างยั่งยืน สู่เศรษฐกิจยุค 5.0 จารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการค้าปลีก เร่งพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย
หลังเผชิญวิกฤติโควิด-19 มายาวนานกว่า 20 เดือน ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจไทยและทั่วโลก ไม่ต่างจากสงครามโลกครั้งที่ 3 ทั้งยังไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่าจะจบลงเมื่อไร ล่าสุดสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ “โอไมครอน” ในประเทศแถบแอฟริกาเป็นอีกปัจจัยปั่นป่วนที่ต้องเฝ้าระวังความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดอีกระลอก
วานนี้ (30 พ.ย.) บนเวทีงานแถลงข่าว “The Pinnacle of Prosperity” ของ “เดอะมอลล์ กรุ๊ป x บิทคับ” นางสาวศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างเดอะมอลล์กรุ๊ปและบิทคับ รวมถึงการผนึกกำลังภาครัฐและเอกชนครั้งนี้ จะมุ่งสร้างปรากฏการณ์เศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการลงทุนและท่องเที่ยวแห่งภูมิภาคเอเชีย ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 ด้านหลัก ได้แก่ โลกยุคใหม่ไร้พรมแดน (Globalization) การปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล (Digitalization) และการท่องเที่ยวและการบริการ (Tourism)
“ถ้าภาครัฐและเอกชนไม่จับมือกัน ประเทศไทยจะไปไม่รอด เพราะฉะนั้นต้องร่วมกันขับเคลื่อนและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยซึ่งมีอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลัก เราไม่สามารถอยู่ได้แค่กำลังซื้อภายในประเทศ ในหลายๆ ประเทศก็เริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว เช่น สหรัฐ ยกเว้นประเทศจีนที่ยังคงนโยบายปิดประเทศ เพราะยังพึ่งพากำลังซื้อภายในประเทศได้”
++ รีโพสิชันนิ่งจับทัวริสต์คุณภาพฟื้นรายได้
ทั้งนี้ ประเทศไทยต้องรีโพสิชันนิ่ง (Repositioning) เปลี่ยนตำแหน่งทางการตลาดของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวใหม่ มุ่งเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ หรือกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง กลุ่มนักธุรกิจ นักลงทุนรุ่นใหม่ กลุ่มเศรษฐีใหม่ (New Wealth) จากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นสวรรค์ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลและการท่องเที่ยว พลิกโฉมการสร้างประสบการณ์ชอปปิง ไลฟ์สไตล์ และการท่องเที่ยว
ทั้งหมดนี้จะช่วยฟื้นรายได้ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยซึ่งเคยเฟื่องฟู โดยเมื่อปี 2562 ก่อนเจอวิกฤติโควิดมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยเกือบ 40 ล้านคน กระโดดกว่า 2 เท่าตัวจากฐาน 17 ล้านคนในปีหลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 ที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า ดึงชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้นภายใน 2 ปีจาก 7 ล้านคน แม้ในช่วง 24 ปีนับตั้งแต่ปี 2540 ประเทศไทยจะติดหล่มกีฬาสีหรือความไม่สงบทางการเมืองเป็นเวลาร่วม 10 ปีก็ตาม ขณะที่คู่แข่งอย่างประเทศฝรั่งเศสมีอัตราเร่งด้านการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ 4 เท่าตัว จากฐาน 20 ล้านคนต่อปี สู่ 80 ล้านคนในปีก่อนเจอโควิด-19
“เราต้องช่วยกันเร่งฟื้นรายได้รวมการท่องเที่ยวของไทยจากที่เคยได้เกือบ 3 ล้านล้านบาทเมื่อปี 2562 ซึ่งพอเจอวิกฤติโควิดทำให้รายได้หดตัว 90% เหลือเพียง 3 แสนล้านบาทเท่านั้น ตอนนี้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวนั่งกันไม่ติดแล้ว กลยุทธ์ในการฟื้นรายได้รวมการท่องเที่ยวคือต้องรุกตลาดนักท่องเที่ยวที่มีความมั่งคั่งสูงซึ่งกล้าใช้เงิน”
++ ร่วมทุนจัดตั้ง ‘บิทคับ เอ็ม โซเชียล’
ทั้งนี้ บิทคับ และ เดอะมอลล์กรุ๊ป ได้ร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท บิทคับ เอ็ม จำกัด ในสัดส่วน 50:50 เพื่อร่วมลงทุนและบริหาร “บิทคับ เอ็ม โซเชียล” บนพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร บริเวณชั้น 8-9 ของโซนฮีลิกซ์ ควอเทียร์ อาคาร A ดิเอ็มควอเทียร์ ให้เป็นดิจิทัลคอมมูนิตี้แห่งแรกของเมืองไทยที่จะเป็นศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยน ความรู้ การจัดสัมมนาและการประชุมทางด้านเศรษฐกิจดิจิทัล การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล สนับสนุนการสร้างองค์ความรู้สำหรับสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ทั้งยังเป็นแหล่งพบปะของนักลงทุนที่สนใจในการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งชาวไทยและต่างชาติ เป็นศูนย์กลางการเทรดและแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงมี NFT Gallery & Gaming และนำเข้าสู่โลกของ METAVERSE ในอนาคต
++ ปลุกท่องเที่ยวไทยเจาะเศรษฐีคริปโตฯ
นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา นักธุรกิจผู้ก่อตั้งบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กลุ่มธุรกิจผู้นำด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน และดำเนินการตลาดซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีผ่าน บิทคับ ออนไลน์ ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยส่งออกภาคการท่องเที่ยวจนสามารถสร้างรายได้รวม 3 ล้านล้านบาท คิดเป็น 20% ของจีดีพี ภายใต้การเติบโตของกฎเก่านั่นคือการมุ่งสู่เป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ ระดับโลก (Top Destination)
แต่พอเจอวิกฤติโควิด ส่งผลให้รายได้รวมฯเหลือ 3 แสนล้านบาท คิดเป็น 2% ของจีดีพี กว่าภาคท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัวเต็มที่ต้องใช้เวลากว่า 2-3 ปี แน่นอนว่าเรารอไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือต้องเปลี่ยนกฎใหม่ รุกเจาะนักท่องเที่ยวคุณภาพ โฟกัสกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงซึ่งครองสัดส่วน 20% ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพื่อรองรับแลนด์สเคปที่เปลี่ยนไปหลังยุคโควิด-19
++ ปรับตัวรับเอ็กซ์โปเนนเชียลเคิร์ฟดันธุรกิจรอด
นายจิรายุส กล่าวต่อว่า การพัฒนาของโลกทุกวันนี้เป็นเหมือนกราฟเอ็กซ์โปเนนเชียลที่พอถึงจุดเปลี่ยนโค้งสำคัญ จะเกิดการหักหัวพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงปี 2020-2030 อยู่ในช่วงหลังของกราฟเอ็กซ์โปเนนเชียล เป็นแพ็คเกจของเทคโนโลยีต่างๆ ที่มาพร้อมกัน ทั้ง Blockchain, AI, AR, VR, Big Data, IoT และอื่นๆ
“โควิด-19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากกฎเก่าสู่กฎใหม่ของเกมเศรษฐกิจโลก สร้าง K-Shaped Recovery หรือการฟื้นตัวเหมือนตัว K คนที่สามารถเข้าใจและปรับตัวรับโลกดิจิทัลได้จะเรียกว่า Exponential Winner เหมือนกับขาขึ้นของตัว K ส่วนคนที่ไม่สามารถปรับตัวได้กับดิจิทัลก็คือ Exponential Loser เหมือนกับขาลงของตัว K”
และในอีกไม่นาน เศรษฐกิจที่จะใหญ่ที่สุดในโลกไม่ใช่เศรษฐกิจทางกายภาพ (Physical) แต่เป็นเศรษฐกิจดิจิทัล เพราะฉะนั้นคนที่จะชนะในเกมนี้คือคนที่เปิดใจและเข้าใจกฎใหม่ ทำให้ในช่วงนี้จะเริ่มเห็นบริษัทต่างๆ ที่มีสินค้าและบริการแบบ Physical จับมือกับบริษัทด้านเทคโนโลยีเพื่อทรานส์ฟอร์มสู่โลกอนาคต เพราะบริษัทที่จะอยู่รอดในอนาคตคือบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Technology-driven Company) โดยจะเห็นเทรนด์นี้ชัดขึ้นในช่วง 5-10 ปีนี้ ยิ่งการเปลี่ยนแปลงแรงเท่าไร โอกาสก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
++ ดันไทยฮับผู้ประกอบการนาโนอาเซียน
แม้ว่า 10 ปีที่แล้วประเทศสิงคโปร์จะชิงโอกาสประกาศตัวเป็นศูนย์กลางทางการเงิน แต่ประเทศไทยไม่ควรโฟกัสเกมเก่า ต้องโฟกัสเกมใหม่ เจาะกลุ่มผู้ที่มีความมั่งคั่งหรือเศรษฐีใหม่ ก้าวสู่การเป็นผู้นำหรือศูนย์กลางของผู้ประกอบการระดับนาโน (Nano Entrepreneur) ในภูมิภาคอาเซียน อาศัยจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวซึ่งสามารถรองรับการทำงานและท่องเที่ยวไปด้วย (Workation) เช่น ที่เกาะพะงัน ภูเก็ต และเชียงใหม่ และชูจุดขายใหม่ในฐานะจุดหมายปลายทางที่เป็นมิตรกับสินทรัพย์ดิจิทัลของภูมิภาคนี้
“ปัจจุบันจีดีพีของไทยอยู่ที่ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่มูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลกมีมูลค่ารวมกันที่ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากประเทศไทยเดินหน้ายุทธศาสตร์สร้างการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลเมื่อไร จะเติบโต 6 เท่าทันที นี่คือกลยุทธ์ควิกวินที่ประเทศไทยสามารถทำได้เลย เร่งประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าเราเป็นมิตรกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล”