ระวังแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มเปิดเมือง
พบผู้ติดเชื้อโอมิครอนรายแรกในสหรัฐฯ วอลล์สตรีทปรับตัวลงแรงในช่วงท้ายของการซื้อขายหลังศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐยืนยันว่า ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มสายการบิน-โรงแรมปรับตัวลดลง
เช่นเดียวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ปรับตัวลงแม้ว่าเฟดจะยืนยันเดินหน้าลดวงเงิน QE เร็วขึ้นในการประชุมเดือนธันวาคม //แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับความรุนแรงของสายพันธุ์โอไมครอน (Omicron) แต่ภาวะการแพร่กระจายของเชื้อในหลายกลุ่มประเทศ การกลับมายกระดับมาตรการป้องกันเส้นทางการบินรวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนในการตรวจจับเชื้อที่ลดลง จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ภาพรวมการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงยังคงมีความไม่แน่นอนสูงในระยะสั้น-กลาง
ประเมินแนวรับ 1,550 จุด คาดข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธ์ใหม่ชัดเจนมากขึ้นในสัปดาห์หน้า
กระบวนการตรวจสอบทางคลีนิค และผลทดสอบในห้องทดลองที่จะบ่งชี้ถึงความรุนแรงของโควิดสายพันธ์ใหม่ (Omicron) รวมถึงการติดตามผลการรักษาทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ทำให้คาดว่าในสัปดาห์หน้า (6-10 ธ.ค.) จะเริ่มเห็นรายงานที่เกี่ยวข้องที่จะเป็นปัจจัยกำหนดแนวทางในการรับมือ และกลยุทธ์ที่แต่ละประเทศจะใช้ในการควบคุมการระบาด ซึ่งในเบื้องต้นเราประเมินจะไม่กระทบต่อแนวทางเปิดเมืองเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน แต่อาจจะกระทบกับการเปิดประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการระบาดที่ไม่จำเป็น // เรายังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่ SET index อาจปรับตัวลงต่ำกว่า 1570 จุด จากความเสี่ยงที่อาจมีการตรวจพบผู้ติดเชื้อสายพันธ์โอไมครอนในประเทศ รวมถึงกรณีที่เชื้ออาจมีความรุนแรงและแพร่กระจายได้สูง โดยเราประเมินแนวรับของดัชนีที่ 1,550 จุด (16.5x PER) และกรณีแย่ที่ 1,520 จุด
ธีมการลงทุนระยะสั้น 1) พลังงานทดแทนและรถไฟฟ้ารับ COP26 ดีกับ EA, NEX, SUPER 2) กลุ่มโภคภัณฑ์ป้องกันเงินเฟ้อ PTTEP, PTTGC, IVL, TOP 3) ผลตอบแทนพันธบัตรขยับขึ้น ซึ่งบวกกับกลุ่มธนาคารและประกัน อาทิ BBL, KBANK, SCB, TIPH 4) หุ้นบริโภคในประเทศ CPN, CRC, CPALL, MAKRO 5) เรามองทยอยสะสม สื่อสาร สาธารณูปโภค ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART, GULF, GPSC, EGCO, RATCH, EASTW, WHAUP, TTW 6) ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ได้แก่ SPALI, QH, PSH, ORI, LPN, LH, AP (ตามลำดับ) 7) ความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีน หนุนการย้ายฐานผลิตมาไทย บวกกับ AMATA, WHA, ROJNA, CCET, SMT 8) กลุ่มการเงินหรือ IPO ที่ยังขึ้นน้อย IFS, PIN, ONEE, CV, UBE, DMT, ASW 9) เก็งกำไรแบบมีตัดขาดทุน กลุ่มได้ประโยชน์จากโควิด BCH, CHG, STA, STGT, SMD, WINMED (ไม่เกิน 1-2 สัปดาห์ หรือเมื่อความรุนแรงของโอไมครอนชัดเจน)
ภาพรวมกลยุทธ์: มีแนวโน้มผันผวนทางลงจากความกังวลโควิดสายพันธ์ใหม่ ซึ่งเรามองจะกระทบการฟื้นตัวของหุ้นท่องเที่ยวและกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากต่างชาติ ขณะที่กระทบจำกัดต่อหุ้นในธีมเปิดเมือง การปรับลงเป็นโอกาสเลือกซื้อประเมินแนวรีบ SET ที่ 1,550 จุด และกรณีแย่ที่ 1,520 จุด //หุ้นแนะนำ: FORTH*, EA*, CPN*, RAM*
แนวรับ: 1,550 / แนวต้าน : 1,585-1,600 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
ประเด็นการลงทุน
เฟดหารือเดือนนี้เพื่อลดการซื้อพันธบัตร – เฟดจะหารือในเดือนนี้ว่าจะยุติการซื้อพันธบัตรเร็วกว่าที่ได้คาดการณ์สองสามเดือนหรือไม่
สหรัฐยืนยันพบผู้ติดเชื้อโอไมครอนรายแรก - สหรัฐยืนยันการตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนรายแรกในสหรัฐเมื่อวานนี้(1 ธ.ค.) ซึ่งเดินทางกลับจากแอฟริกาใต้และได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว แต่ไม่ได้ฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์
ศบค.ปิดรับผู้เดินทางจาก 8 ปท. – ศบค.ปิดรับผู้เดินทางจาก 8 ประเทศกลุ่มเสี่ยงแอฟริกาตั้งแต่ 1 ธ.ค. เว้นสัญชาติไทย พร้อมประกาศตามตัว 252 คนที่เข้าไทยแล้ว ตรวจหาเชื้อด่วน
ธปท.จ่อคุมคริปโทชำระสินค้า - ธปท. ย้ำ ไม่สนับสนุนนำสินทรัพย์ดิจิทัล ชำระสินค้า-ค่าบริการเพิ่มขึ้น เหตุผันผวนสูง รั่วไหล หวั่นกระทบเสถียรภาพการเงิน พร้อมจับมือก.ล.ต. ศึกษารูปแบบกำกับ ป้องกันความเสี่ยง
ประเด็นติดตาม: - 2 ธ.ค. – OPEC Meeting, 17 ธ.ค. – FTSE Rebalancing Effective date
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)