Property Sector เกาะกระแสการฟื้นตัว (3 ธ.ค. 64)

เราคาดว่าอัตรา take-up rate จะทยอยปรับตัวดีขึ้นตลอดปี 2565F ผลักดันจาก i) การเปิดตัวโครงการใหม่อย่างคึกคักมากขึ้นตั้งแต่ 4Q64F เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยสร้างภาวะตลาดในเชิงบวกให้กับผู้ซื้อ ii) การทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะทำให้ธนาคารผ่อนคลายการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น iii) การผ่อนคลายมาตรการ LTV จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อ

 

ภาวะอุปสงค์-อุปทานจะสมดุลกันมากขึ้น

เราคาดว่าภาวะอุปสงค์ และอุปทานที่สมดุลกันมากขึ้นจะปูทางไปสู่การฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปี 2565F โดยเมื่อพิจารณาทางด้านของอุปทาน พบว่าการปรับลดอุปทานในช่วงสองปีที่ผ่านมาทำให้สต็อกของผู้ประกอบการลดลงไปจนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยห้าปีย้อนหลังแล้ว ในขณะที่เราคาดว่าอุปสงค์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพ และปริมณฑลจะฟื้นตัวขึ้นในปี 2565F ที่ 75,000 ยูนิต (+10% YoY) ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ

 

อุปสงค์โครงการแนวราบจะยังคงแข็งแกร่ง ในขณะที่อุปสงค์คอนโดมิเนียมกำลังจะฟื้นตัวตาม

เราคาดว่าอุปสงค์โครงการแนวราบระดับกลางถึงสูงจะยังคงแข็งแกร่งไปตลอดปี 2565F และเรายังมองบวกมากขึ้นกับแนวโน้มของโครงการแนวราบระดับล่างในปี 2565F ด้วย เนื่องจากเราคาดว่าปัญหาเรื่องอัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูงของธนาคารจะทยอยคลี่คลายลงไป สำหรับตลาดคอนโดมิเนียม เราคาดว่าตลาดน่าจะฟื้นตัวได้ทุกกลุ่มราคาในปี 2565F โดยกลุ่มที่คาดว่าจะเป็นตัวนำในปีหน้าคือกลุ่มระดับราคาปานกลาง (3-5 ล้านบาท)

 

 

Valuation & action

เรายังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ Overweight และแนะนำให้นักลงทุนเกาะตามแนวโน้มการฟื้นตัวของปัจจัยพื้นฐาน เราชอบหุ้นที่มีแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และไม่มีประเด็นต้องกังวลเกี่ยวกับสต็อกที่ล้าสมัย ดังนั้น เราจึงเลือก Origin Property (ORI.BK/ORI TB)* (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 13.50 บาท), Supalai (SPALI.BK/SPALI TB)* (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท), และ AP (Thailand) (AP.BK/AP TB)* (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 12.00 บาท) เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม นอกจากนี้เรายังมองบวกกับ Pruksa Holding (PSH.BK/PSH TB) (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 16.00 บาท) เนื่องจากราคาหุ้นมี downside จำกัด และปัจจัยพื้นฐานเห็นจุดกลับตัวในทางที่ดีขึ้นในปี 2565F

 

Risks

ภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอลง และ COVID-19 ระบาดนานเกินคาด