การรถไฟฯ เซ็นจ้างก่อสร้างทางคู่สายใหม่ 1.2 แสนล้าน เส้นทางเหนือ-อีสาน

การรถไฟฯ เซ็นจ้างก่อสร้างทางคู่สายใหม่ 1.2 แสนล้าน เส้นทางเหนือ-อีสาน

การรถไฟฯ ลงนามสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการรถไฟสายใหม่ 2 เส้นทาง สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม วงเงินกว่า 1.2 แสนล้านบาท คาดเริ่มก่อสร้างกลางปี 2565

เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2564 เวลา 14.30 น ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ร่วมลงนามสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางรถไฟ 2 เส้นทาง ประกอบด้วย สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม กับผู้รับจ้าง รวมทั้งสิ้น 5 สัญญา วงเงินกว่า 128,236 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพและพัฒนาระบบการขนส่งทางรางของประเทศ พร้อมมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทย โดยดำเนินการด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี ระเบียบข้อบังคับในการจัดซื้อจัดจ้างหน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนมีการลงนามข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) อย่างครบถ้วน 

การรถไฟฯ เซ็นจ้างก่อสร้างทางคู่สายใหม่ 1.2 แสนล้าน เส้นทางเหนือ-อีสาน

สำหรับโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ การรถไฟฯ ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 ซึ่งได้เห็นชอบให้ดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323 กิโลเมตร วงเงินรวมทั้งสิ้น 72,921 ล้านบาท และได้มีการใช้วิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-bidding ตามระเบียบข้อบังคับของการรถไฟฯ และระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ของกรมกระทรวงการคลัง ตลอดจนมีการลงนามข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ระหว่างการรถไฟฯ ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ ผู้ประกอบการ และผู้สังเกตการณ์ ในสัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว โดยมีรายละเอียดการลงนามสัญญาจ้างก่อสร้าง 3 สัญญา ประกอบด้วย  

สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว กิจการร่วมค้า ไอทีดี-เนาวรัตน์ ประกอบด้วย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับจ้างก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว วงเงินค่าจ้างทั้งสิ้น 26,560,000,000.00 บาท (สองหมื่นหกพันห้าร้อยหกสิบล้านบาทถ้วน) ซึ่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 แล้ว โดยงานประกอบด้วยงานก่อสร้างทางรถไฟระดับพื้นดินและทางรถไฟยกระดับ รวมระยะทางประมาณ 103 กม. มีสถานี 5 สถานี  ป้ายหยุดรถ 2 แห่ง อุโมงค์รถไฟ 2 แห่ง  และงานระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม และงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

สัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย กิจการร่วมค้า ซีเคเอสที-ดีซี2 ประกอบด้วย บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท บุรีรัมย์พนาสิทธิ์ จำกัด เป็นผู้รับจ้างก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สัญญาที่ 2 ช่วงงาว - เชียงราย วงเงินค่าจ้างทั้งสิ้น 26,890,000,000.00 บาท (สองหมื่นหกพันแปดร้อยเก้าสิบล้านบาทถ้วน) ซึ่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 แล้ว โดยงานประกอบด้วยงานก่อสร้างทางรถไฟระดับพื้นดินและทางรถไฟยกระดับ รวมระยะทางประมาณ 132 กม. มีสถานี 4 สถานี ป้ายหยุดรถ 8 แห่ง  อุโมงค์รถไฟ 1 แห่ง  และงานระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม และงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง  

สัญญาที่ 3 เชียงราย-เชียงของ กิจการร่วมค้า ซีเคเอสที-ดีซี3 ประกอบด้วย บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท เชียงใหม่คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้รับจ้างก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย-เชียงของ วงเงินค่าจ้างทั้งสิ้น 19,385,000,000.00 บาท (หนึ่งหมื่นเก้าพันสามร้อยแปดสิบห้าล้านบาทถ้วน) ซึ่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 แล้ว โดยงานประกอบด้วยงานก่อสร้างทางรถไฟระดับพื้นดินและทางรถไฟยกระดับ รวมระยะทางประมาณ 87 กม. มีสถานี 3 สถานี ป้ายหยุดรถ 3 แห่ง  อุโมงค์รถไฟ 1 แห่ง  และงานระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม และงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

การรถไฟฯ เซ็นจ้างก่อสร้างทางคู่สายใหม่ 1.2 แสนล้าน เส้นทางเหนือ-อีสาน  

ส่วนโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ได้ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เมื่อ 28 พฤษภาคม 2562 เป็นโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใหม่ ผ่านพื้นที่ทั้งหมด 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น, มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, ยโสธร, มุกดาหาร และนครพนม ระยะทางรวม 355 กิโลเมตร วงเงิน 66,848.33 ล้านบาท ซึ่งการรถไฟฯ ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบข้อบังคับของการรถไฟฯ และระเบียบข้อบังคับของกรมบัญชีกลางในการจัดซื้อจัดจ้างอย่างครบถ้วนเช่นกัน  โดยมีรายละเอียดการลงนามสัญญาจ้างก่อสร้าง 2 สัญญา ประกอบด้วย  

 สัญญาที่ 1 บ้านไผ่-หนองพอก กิจการร่วมค้า เอเอส-ช.ทวี แอนด์ แอสโซซิเอทส์ ประกอบด้วย บริษัท เอ.เอส. แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด บริษัท ช.ทวีก่อสร้าง จำกัด บริษัท กิจการร่วมค้า ทีบีทีซี จำกัด บริษัท เสริมสงวนก่อสร้าง จำกัด และบริษัท เค.เอส.ร่วมค้า จำกัด เป็นผู้รับจ้างก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม สัญญาที่ 1 ช่วงบ้านไผ่-หนองพอก วงเงินค่าจ้างทั้งสิ้น 27,095,000,000.00 บาท (สองหมื่นเจ็ดพันเก้าสิบห้าล้านบาทถ้วน) ซึ่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 แล้ว โดยงานประกอบด้วยงานก่อสร้างทางรถไฟระดับพื้นดินและทางรถไฟยกระดับ รวมระยะทางประมาณ 180 กม. มีสถานี 10 สถานี และงานระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม และงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

สัญญาที่ 2 หนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 กิจการร่วมค้า ยูนิค ประกอบด้วย บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท พี.ซีอีที จำกัด บริษัท ไทยพีค่อนและอุตสาหกรรม จำกัด และบริษัท วัชรขจร จำกัด เป็นผู้รับจ้างก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม สัญญาที่ 2 ช่วงหนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 วงเงินค่าจ้างทั้งสิ้น 28,306,000,000.00 บาท (สองหมื่นแปดพันสามร้อยหกล้านบาทถ้วน)  ซึ่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 แล้ว โดยงานประกอบด้วยงานก่อสร้างทางรถไฟระดับพื้นดินและทางรถไฟยกระดับ รวมระยะทางประมาณ 175 กม. มีสถานี 9 สถานี และงานระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม และงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างรถไฟสายใหม่ 2 เส้นทาง ทั้งสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม  ถือเป็นเส้นทางสำคัญที่ช่วยพัฒนาศักยภาพระบบการขนส่งทางรางของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้สามารถรองรับการขยายตัวของการค้าชายแดนและผ่านแดน  ตลอดจนเชื่อมโยงกับพื้นที่เศรษฐกิจอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่กำลังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ.2558-2565 โดยถือว่าเป็นข่าวดี เป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนคนไทยที่จะมีรถไฟสายใหม่ไว้ให้บริการได้เพิ่มขึ้น

รายงานข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ระบุว่า หลังลงนามสัญญาคาดว่าจะส่งมอบพื้นที่เพื่อให้ผู้รับเหมาทยอยเข้าพื้นที่ก่อสร้างได้ประมาณกลางปี 2565