กูรูเชื่อมั่นหุ้นไทยปี 65 “ขาขึ้น” ลุ้นทดสอบ 1,820 จุด
“เฟทโก้” มองดัชนีปีหน้า “ขาขึ้น” รับเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวฟื้น คาดกำไรบจ.โต 12% “บล.ยูโอบีฯ” ชี้ครึ่งแรกปี 65 หุ้นไทยโตแรง ลุ้นทดสอบ 1,820 จุด “บล.เมย์แบงก์” คาดสัปดาห์แรกถูกกระทบจากโอมิครอน-แรงขายแอลทีเอฟ แต่มองเป็นโอกาสซื้อ
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยวานนี้ (30 ธ.ค.) ซึ่งเป็นวันทำการสุดท้ายของปี ปิดตลาดดัชนี SET (SET Index) อยู่ที่ 1,657.62 จุด เพิ่มขึ้น 4.29 จุด หรือ 0.26% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 74,535.61 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 1,201.20 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 192.40 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 3,563 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยในประเทศขายสุทธิ 2,554.20 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทยปี 2564 พบว่า SET Index เพิ่มขึ้น 208.27 จุด หรือ 14.37% จากดัชนี ณ สิ้นปี 2563 ที่ 1,449.35 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายกว่า 21.24 ล้านล้านบาท ระหว่างทางทำจุดต่ำสุดในเดือน ม.ค.ที่ 1,466.98 จุด และสูงสุดในเดือน ธ.ค.ที่ 1,657.62 จุด
โดยนักลงทุนรายย่อยในประเทศเป็นกลุ่มที่ซื้อสุทธิสูงสุดในปีนี้ที่ 112,241.04 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นกลุ่มที่ขายสุทธิสูงสุด 77,335.91 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ปิดที่ 19.54 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2563 ราว 3.47 ล้านบาท
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2565 เชื่อว่าเป็นขาขึ้น โดยหลักได้ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว แม้จะมีความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน แต่เชื่อว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะไม่รุนแรงเท่าการแพร่ระบาดระลอกแรก
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังได้ปัจจัยหนุนจากแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่เป็นขาขึ้น โดยคาดว่ากำไรบจ.ปี 2565 จะเติบโต 12% สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีหน้าที่คาดว่าจะเติบโต 4% ซึ่งกำไรบจ.ที่เติบโตจะส่งผลบวกให้ดัชนี SET (SET Index) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันราว 10-12% หรือมีโอกาสปรับขึ้นทดสอบระดับ 1,800 จุด
สำหรับปัจจัยเสี่ยงภาวะเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) 3 ครั้งในปี 2565 เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยจำกัด เพราะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยจากระดับ 0% ในปัจจุบัน รวมถึงเป็นปัจจัยลบที่สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังไม่มีความเสี่ยงภาวะเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยนโยบายยังมีแนวโน้มทรงตัวต่ำ
เมื่อสอบถามถึงกระแสข่าวการเก็บภาษีขายหุ้น นายไพบูลย์ กล่าวว่า หากเริ่มเก็บภาษีจริงคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น แต่เชื่อว่าผลกระทบอาจไม่มากในปี 2565 เพราะตลาดหุ้นไทยในปีหน้ายังมีปัจจัยบวกหนุนและมีจุดขายการลงทุน ส่วนผลกระทบระยะยาวหากใช้จริงจะต้องประเมินอีกครั้ง
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ประเมินตลาดหุ้นไทยปี 2565 จะสดใสที่สุดในช่วง 4-5 เดือนแรก โดยได้ปัจจัยหนุนจากกระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้ามาในกลุ่มประเทศอาเซียน เพราะเป็นภูมิภาคที่คาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเติบโตเด่น โดยประเมินเป้าหมายดัชนีปีหน้ามีโอกาสทดสอบ 1,820 จุด จากสมมติฐานอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ที่ 18.5 เท่า กำไรต่อหุ้น (EPS) 98 บาท
อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะถูกผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าและเป็นความเสี่ยงเงินทุนไหลออก ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงจากการเก็บภาษีขายหุ้น คาดว่าหากใช้จริงจะส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นลดลง
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันสุดท้ายแกว่งตัวในกรอบแคบ เพราะไร้ปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนในช่วงท้ายของปี แต่ยังสามารถปรับตัวขึ้นมาปิดบวกได้ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งค่อนข้างแข็งแกร่ง
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์แรกของปี 2565 (4-7 ม.ค.2565) มีความเสี่ยงย่อตัวลงจากความกังวลการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนหลังวันหยุดยาว และแรงขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนดอายุ แต่มองเป็นโอกาสซื้อ เพราะเป็นปัจจัยลบที่เข้ามากดดันระยะสั้น ขณะที่ระยะกลางยาวยังมองหุ้นไทยเป็นขาขึ้น โดยคงเป้าหมายดัชนีที่ 1,750 จุด