คณิศชู4ความสำเร็จ ดัน4เมกะโปรเจคอีอีซี ต้นแบบร่วมทุนรัฐ-เอกชน

คณิศชู4ความสำเร็จ  ดัน4เมกะโปรเจคอีอีซี  ต้นแบบร่วมทุนรัฐ-เอกชน

“คณิศ” ชู 4 แนวคิด ดัน 4 โครงสร้างพื้นฐานสำคัญในอีอีซี ปลื้มลงนามเอกชนเรียบร้อย ชี้เป็นนวัตกรรมการลงทุนเมกะโปรเจคในไทย ใช้เงินคนไทยไม่ต้องกู้ต่างประเทศ ไม่ต้องใช้งบแผ่นดิน แต่สร้างผลตอบแทนโครงการได้กว่า 2 แสนล้านบาท ชี้ใช้ทรัพย์สินประเทศได้คุ้มค่า

การผลักดันนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เริ่มดำเนินการมาต่อเนื่องในช่วง 4 ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะการประมูลโครงสร้างพื้นฐานหลัก ซึ่งแม้จะมีโครงการที่มีการฟ้องร้องในศาลปกครองทั้งโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และโครงการรถไฟพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 แต่ได้ข้อสรุปและได้ผู้ชนะการประมูลมาดำเนินโครงการ

คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ​​เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของในพื้นที่อีอีซีมีความคืบหน้าที่สำคัญคือได้มีการลงนามในสัญญาร่วมกับภาคเอกชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้แก่ 

1.โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (สุวรรณภูมิ ดอนเมือง อู่ตะเภา) 

2.โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก 

3.โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 

4.โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F 

สำหรับการพัฒนาทั้ง 4 โครงการถือเป็น “โครงการร่วมลงทุน รัฐ-เอกชน” (Public Private Partnership : PPP) ที่สำคัญของประเทศที่มีมูลค่าการลงทุนรวมกัน สูงถึง 654,921 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนภาคเอกชน 416,080 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 64% และเป็นการลงทุนของภาครัฐ 238,841 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36% ของวงเงินลงทุน

ภาคเอกชนจะต้องให้ผลตอบแทนแก่ภาครัฐเป็นวงเงินรวมกันกว่า 440,193 ล้านบาท แบ่งเป็นผลตอบแทยในโครงการต่างๆได้เแก่

1.โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) ภาครัฐได้รับผลตอบแทน 37,603 ล้านบาท 

2.ท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ภาครัฐได้ผลตอบแทน 305,555 ล้านบาท 3.ท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 ภาครัฐได้ผลตอบแทน 14,765 ล้านบาท และ 4.โครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3  ภาครัฐได้ผลตอบแทน 82,270 ล้านบาท 

ทั้งนี้ เมื่อหักลบจากวงเงินการลงทุนท่ี่ภาครัฐจ่ายไปจากการลงทุนร่วมกับภาคเอกชนไปประมาณ  238,841 ล้านบาท แล้วภาครัฐได้ผลตอบแทนสุทธิคิดเป็นวงเงิน 210,352 ล้านบาท 

นายคณิศกล่าวต่อว่าผลสำเร็จครั้งสำคัญของอีอีซี ที่ได้ขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่ทำให้เกิดผลประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนคนไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อการลงทุนของประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้หลักคิด 4 ประการ ได้แก่

1.ประเทศไทยก้าวไปสู่การพึ่งพาตนเอง โดยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลักในอีอีซีครั้งนี้ ไม่พึ่งพิงเงินกู้จากต่างประเทศ ซึ่งต่างจากอดีตที่ผ่านมา ที่การลงทุนต้องกู้เงินต่างประเทศมาทำโครงการ อันจะทำให้เกิดภาระทางการคลังในระยะยาวที่ต้องทยอยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเงินกู้

2.ภาคเอกชนไทย ธุรกิจไทย แข็งแรง ร่วมกระบวนการพัฒนาประเทศได้ การลงทุนในพื้นที่อีอีซีถือเป็นความสำเร็จของความร่วมมือภาครัฐและเอกชนแบบลงตัว สะท้อนถึงภาคเอกชนไทยมีความแข็งแกร่งเป็นแกนหลักนำพันธมิตรบริษัทต่างชาติ มาร่วมทำงานให้คนไทยด้วยกัน แนวทางใหม่ที่เกิดขึ้นนี้ คือ การใช้บริษัทไทย ใช้คนไทย และใช้เงินไทยในการลงทุนที่จะสร้างงานและเงินหมุนเวียนในประเทศ เกิดการทวีคูณต่อระบบเศรษฐกิจ (Multiplier effect) เพิ่มขึ้นหลายเท่า กว่ามูลค่าการลงทุน 6 แสนล้าน 

รวมทั้งช่วยให้เกิดการสร้างงาน และสร้างรายได้ให้กับบริษัทไทย รายใหญ่และรายเล็ก รวมถึงระดับชุมชน นอกจากนั้นยังสร้างรายได้จากภาษี โดยเฉพาะภาษีทางอ้อมจำนวนมาก

3.ภาครัฐไม่ต้องใช้งบประมาณและได้ผลตอบแทนสุทธิสูงถึง 2 แสนล้านบาท สินทรัพย์ที่นำมาดำเนินการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยบริหารร่วมกับเอกชนถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม เกิดมูลค่าลงทุนมากกว่า 650,000 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลประหยัดงบประมาณของประเทศ และยังสร้างรายได้สุทธิให้กับภาครัฐ เป็นมูลค่าปัจจุบันมากกว่า 200,000 ล้านบาท

4.เอกชนร่วมเสี่ยงกับภาครัฐ คือ การสร้างมั่นใจในอนาคตของประเทศ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลักในอีอีซีทั้ง 4 โครงการ ที่เป็นการร่วมทุนรูปแบบ PPP ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ภาครัฐและภาคเอกชน สามารถร่วมมือกันสร้างประโยชน์ให้กับประเทศได้ และการที่เอกชนมั่นใจนำเงินมาลงทุน ร่วมเสี่ยงกับรัฐบาล คือการการันตีความร่วมมือกันอย่างมั่นใจได้ในอนาคต 

ทั้งนี้ ประเทศไทยกำลังก้าวสู่การสร้างอนาคตใหม่ร่วมกันทั้งประเทศ รัฐเอกชนและประชาชน โดยภาครัฐได้ขอความร่วมทุนกับเอกชนไทยที่ได้แสดงความแข็งแกร่งของบริษัทไทย

“ต้องขอบคุณเอกชนจริงๆที่มาร่วมลงทุน และการที่เป็นเอกชนไทยไม่ได้เป็นบริษัทต่างชาติจึงเกิดแนวทางใหม่ คือ ใช้บริษัทไทย ใช้คนไทย ใช้เงินไทยและเป็นการลงทุนที่จะสร้าง เงินและงานให้หมุนในประเทศ และสร้างอนาคตให้ประเทศในระยะต่อไป”

นอกจากนี้ เมื่อ 3 ปี ที่ผ่านมา ได้มีการประเมินว่าได้นำสินทรัพย์ของภาครัฐที่ไม่ใด้ใช้ประโยชน์มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างประโยชน์ให้ประเทศไทยก้าวไปสู่การพึ่งพาตนเองไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ โดยรัฐบาลไม่ต้องไปกู้เงินต่างประเทศเพื่อมาดำเนินโครงการ และต้องนำบริษัทต่างชาติมาดำเนินการก่อสร้างแล้วเอางบประมาณส่วนนี้ไป ซึ่งหลังจากนั้นทิ้งหนี้จากการกู้เงินมาก่อสร้างไว้ให้ประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลรับหนี้และความเสี่ยงในอนาคต แต่ขณะนี้ภาคธุรกิจไทยมีความแข็งแรงและร่วมกระบวนการพัฒนาประเทศได้ความร่วมมือรัฐเอกชนได้แบบลงตัว