เทรนด์ คริปโทฯ จุดพลุลงทุนปี65 "Defi-NFT-Metaverse” แรง
วงการตลาดเงินดิจิทัลฟันธง“คริปโทเคอเรนซี่”จุดพลุลงทุนปี 2565 ชี้เทรนด์เหรียญที่อยู่บนแพลตฟอร์ม Defi-NFT-Metaverse"มาแรงปลุกกระแส คาด"บิทคอยน์"แรงไม่ตก ลุ้นปีนี้แตะ 8 หมื่นดอลลาร์ ขณะที่บลจ.ไทยพร้อมออกกองทุนลุยสินทรัพย์ดิจิทัลหาก ก.ล.ต.ไฟเขียว
ในปี 2564 “ มูลค่าตลาดคริปโทเคอเรนซี” เติบโตอย่างมากและให้ผลตอบแทนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ลงทุนประเภทอื่น ด้วยมูลค่าตลาดใหญ่ขึ้น เนื่องมาจากกฎหมายการกำกับดูแลในแต่ละประเทศ รวมถึงในไทยมีความชัดเจนมากขึ้น และเปิดทางให้กองทุน การเงิน และนักลงทุนรายใหญ่ของโลก ทยอยเข้ามาลงทุนในคริปโทฯต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563
ที่สำคัญในหลายประเทศเริ่มมีกฎหมายรองรับใช้คริปโทฯเป็น“เงินของประเทศ” อย่าง “เอกวาดอร์” เป็นประเทศแรกของโลก ที่เปิดใช้บิทคอยน์อย่างถูกฎหมาย ขณะที่ในไทยเตรียมทดลองใช้ CBDC ภายใต้ชื่อ ดิจิทัลบาท ที่คาดว่าจะเริ่มในช่วงกลางปี 2565
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้คริปโทเคอเรนซี่หลัก อย่าง “บิทคอยน์”(มีสัดส่วน 40%)ของมูลค่าตลาด ปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรงตั้งแต่ต้นปี 2564 และในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 เมื่อมีแพลตฟอร์มใหม่ของตลาดคริปโทฯ ไม่ว่าจะเป็น Defi NFT CBDC หรือล่าสุด Metaverse ส่งผลให้ ราคาบิทคอยน์ ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ “All Time High” ในระดับ 61,000 -62,000 ดอลลลาร์
ขณะที่ระหว่างทางของปี 2564 บางช่วงหลังราคาบิทคอยน์ ปรับขึ้นร้อนแรง ก็ปรับฐานลงต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์เป็นระยะๆ โดยในช่วงบ่ายของวันสุดท้ายก่อนสิ้นปีก่อน(30 ธ.ค.) ราคาบิทคอยน์ ยังเคลื่อนไหวที่ระดับ 46,952 ดอลลาร์
ลุ้น“บิทคอยน์”แตะ 8 หมื่นดอลล์
นายปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้งและกรรมการ บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด มองว่า ในปี 2565 คริปโทฯยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุน โดยเฉพาะบิทคอยน์ ยังเป็น “ขาขึ้น” และมองโอกาสของการปรับขึ้นเป็นไปได้ 2 รูปแบบ คือ รูปแบบแรก จะปรับตัวขึ้นสูงทันทีตั้งแต่ต้นปี จนถึงช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. จะกลับมาทรงตัวที่ระดับนี้
รูปแบบที่ 2 ช่วงต้นปีจะยังทรงตัวที่ระดับนี้จนถึงเดือนมี.ค.-เม.ย. และจะปรับตัวขึ้นสูง โดยในวงการคริปโทฯ มีการประเมินด้วยว่า ราคาบิทคอยน์ปี 2565 มีโอกาสปรับขึ้นไปแตะ 80,000 ดอลลาร์
สภาพคล่อง-ท่าทีเฟดหนุนคริปโทฯ
ปัจจัยหลักที่มีผลต่อราคาคริปโทฯ และเศรษฐกิจทั่วโลก ในเชิงลบ คือ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์(geopolitical) หรือปัญหาสงครามระหว่างประเทศ และนโยบายการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ที่ยังมีความไม่แน่นอนและไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่ด้วยสภาพคล่องในระบบที่ยังอยู่ในระดับสูง ยังคงจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดคริปโทฯทั้งบิทคอยน์และเหรียญอื่นๆเพิ่มขึ้น
นายปรมินทร์ แนะนำว่า การลงทุนคริปโทฯในปี 2565 “การบริหารความเสี่ยงการลงทุน” ยังจำเป็นเพราะหากราคาปรับขึ้นสูงมาก ก็มีโอกาสที่ราคาปรับฐานลงหนักเช่นกัน จุดนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุน ต้องระมัดระวังด้วยแม้ว่าโดยภาพรวมยังเป็นขาขึ้นก็ตาม
“ซิปเม็กซ์”ชี้ครึ่งแรกยังขาขึ้น
นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ซิปเม็กซ์(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ครึ่งปีแรกของปี 2565 ตลาดคริปโทฯยังเป็นขาขึ้น แต่อัพไซด์จำกัด เพราะว่า ปี 2564 ราคาคริปโทฯปรับตัวขึ้นมามากแล้ว และ ยังมีปัจจัยกดดันราคาคริปโทฯ และบิทคอยน์ในเชิงลบ
ทั้งมาตรการลดคิวอีของธนาคารกลางขนาดใหญ่หลายประเทศ และนโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ที่ยังต้องจับตาว่า เมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ยแล้ว จะทำให้นักลงทุนย้ายเป็นเงินลงทุนจากคริปโทฯ หรือบิทคอยน์ กลับไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น แต่จะมากน้อยแค่ไหน ยังเป็นปัจจัยกดดันการปรับตัวขึ้น
พร้อมกันนี้ ยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในปีนี้จะรุนแรงขึ้นหรือไม่ ซึ่งหากรุนแรงก็อาจทำให้เฟดไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย จะกลับมาเป็นปัจจัยหนุนต่อราคาคริปโทฯได้เช่นกัน
“Defi-NFT-Metaverse”ปลุกกระแส
ขณะเดียวกันในปี 2565 เชื่อว่าคริปโทฯ และบิทคอยน์ ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่องจากปีก่อนแน่นอน สำหรับรูปแบบของสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะมาแรง นอกจากบิทคอยน์และอีธีเลี่ยมแล้ว คริปโทฯที่อยู่บนแพลตฟอร์มอย่าง Defi,Gamefi, NFT จะเข้าสู่โลกเสมือนจริง หรือ Metaverse ที่ทำให้เกิดธุรกรรมการค้าได้มากขึ้น จะมาแรงมากไม่แพ้กัน เป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดคริปโทฯให้โตต่อเนื่อง
ส่วนการลงทุนคริปโทฯในปีนี้ แนะนำว่า การทยอยลงทุนแบบซื้อสะสมทุกเดือนเพื่อเฉลี่ยต้นทุน(Dollar Cost Average : DCA) น่าจะเหมาะสมที่สุด ในช่วงที่ราคาคริปโทฯและบิทคอยน์ มาอยู่ในช่วงกลางแล้ว ไม่ได้อยู่ในช่วงต้น เพราะหากราคาปรับตัวลงเริ่มทยอยเข้าเก็บสะสมและเมื่อราคาปรับขึ้นสามารถเป็นโอกาสที่สามารถขายทำกำไรได้ และจากปี 2564 ราคาเหรียญส่วนใหญ่ขึ้นไปมาก ฉะนั้นการเลือกเหรียญที่จะลงทุนก็เป็นสิ่งสำคัญ และต้องศึกษาทำความเข้าใจเหรียญนั้นก่อนลงทุน
“จิรายุ”เชื่อคนลงทุนมากขึ้น
นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” Group CEO ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า คริปโทฯ จะมีบทบาทมากขึ้นในการลงทุนและมีผู้เล่นมากขึ้น สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือ แม้ตลาดคริปโทฯจะมีความผัน ผวนสูงในปี 2564 แต่กลับมีผู้เล่นเพิ่มขึ้น 4% หรือคิดเป็น 300 ล้านคน เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งได้ดึงดูดนักลงทุนตั้งแต่กองทุนรวมไปจนถึงบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ให้มาเข้าร่วมมากขึ้น
ดังนั้นในปี 2565 จากการใช้คริปโทฯ ในการลงทุนหลากหลายรูปแบบ อย่างปัจจุบันมี NFT ,Defi,Smart Contracts, Decentralized Autonomous Organizations (DAOs) และอื่นๆ รวมถึง Metaverse จะทำให้ตลาดคริปโทฯ เร่งตัวขึ้นแน่นอน
ถอดปรัชญาสไตล์“จิรายุส”
สำหรับการลงทุนคริปโตในปี 2565 นายจิรายุส แนะนำว่า ถึงแม้การลงทุนในคริปโท จะเป็นเทรนด์ใหม่ที่เป็นรากฐานการลงทุนในอนาคต เมื่อพูดถึงการลงทุนคริปโทเพื่อเก็งกำไร ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเหรียญหรือการถือเหรียญ หากเลือกที่จะถือคริปโทฯตัวไหนไว้ ควรถือไว้เพียงตัวที่มั่นใจว่าจะสามารถทำกำไรได้เท่านั้น
กลยุทธ์ที่แท้จริงของการลงทุนในตลาดการเงินคือ“การมีอัตราชนะมากกว่าแพ้” ดังนั้นจึงควรพิจารณาความเสี่ยง ลงทุนกับสินทรัพย์ที่สามารถแพ้ได้โดยไม่ได้รับผลกระทบ และเลือกตัวที่มีผู้ใช้งานสูงอย่าง BTC และ ETH รวมถึงการกระจายความเสี่ยงย่อมดีกว่าลงเงินทั้งหมดกับสินทรัพย์เพียงอย่างเดียว แม้ว่าจะมั่นใจมากแค่ไหน ซึ่งจะลดความเสี่ยงที่จะเสียเงินทุนจำนวนมากในครั้งเดียวการเทรดแบบนี้จะช่วยให้ผู้เล่นมีความยืดหยุ่นและสามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง
“ที่สำคัญนักลงทุนควรศึกษารายละเอียดและติดตามเทรนด์โลกอย่างสม่ำเสมอ เพราะเทคโนโลยีในปัจจุบันเติบโตอย่างรวดเร็ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเรียนรู้ด้วยประสบการณ์การลงทุนของตัวเอง”
บลจ.กรุงไทย - บลจ.วรรณ สนลงทุน
นายสมชัย อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บริษัทหลัักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย เปิดเผยว่า สินทรัพย์ดิจิทัล เป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจ และเชื่อว่าสินทรัพย์ประเภทนี้ จะมีบทบาทในตลาดการลงทุนเพิ่มมากขึ้นในอนาคตในหลายแง่มุม ทั้งช่วยกระจายความเสี่ยง หาผลตอบแทน รวมถึงเป็นเครื่องในทำธุรกรรมประเภทใหม่ๆให้เกิดขึ้นได้อีกมาก
เรียกได้ว่า การเข้ามาของสินทรัพย์ดิจิทัล จะเป็นได้ทั้งแง่การลงทุนและเครื่องมือ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ในหลายๆแง่มุม
ทั้งนี้หากทางก.ล.ต.อนุญาตให้ลงทุนโดยตรง หรือจัดตั้งกองทุนให้สามารถไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ได้โดยตรง เชื่อว่าทางเราก็พร้อมที่จะเสนอทางเลือกให้นักลงทุนแน่นอน
นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ จำกัด กล่าวว่า แผนงานในปีนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าธุรกิจกองทุนรวมผ่านตัวแทนขายและสถาบันการเงินที่เป็น“Open Architecture” มุ่งนำเสนอกองทุนอิงตลาดต่างประเทศ 80% ที่มีผลตอบแทนในระดับสูงและการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น คริปโทเคอเรนซี, NFT เป็นต้น เนื่องจากมองว่าหลังจากทิศทางดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ และอุตสาหกรรมกองทุนรวมยังมีโอกาสเติบโตได้สูงจากการดึงเงินฝากมาได้
กสิกรไทยรอก.ล.ต.ชัดเจน
นายวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวางแผนกลยุทธ์ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นกระแสการลงทุนที่ต้องจับตา แต่ยังต้องรอความชัดเจนในเรื่องเกณฑ์การลงทุนของทางก.ล.ต. เปิดให้กองทุนเข้าไปลงทุนโดยตรงได้หรือไม่ เพราะปัจจุบันการตั้งกองทุน สามารถทำเป็นธีมการลงทุน ผ่านฟีดเดอร์ฟันด์ต่างประเทศ ที่มีนโยบายการลงทุน ETF ฟิวเจอร์บนสินทรัพย์ดิจิทัลหรือลงทุนหุ้นในบริษัทที่มีการลงทุนเกี่ยวข้องกับคริปโทฯ อย่างไรก็ตามแผนปีนี้เรายังอยู่ระหว่างการศึกษาธีมการลงทุนนี้
“จิตตะ”ศึกษา2แผนลุยคริปโท
นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะเวลธ์ จำกัด กล่าวว่า คริปโทเคอร์เรนซี เป็นหนึ่งในเทรนด์ที่เรากำลังศึกษาอยู่ และพิจารณาเป็นผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล หากเห็นว่ามีประโยชน์กับผู้ลงทุนจะดำเนินการตามกระบวนการต่อไป
โดยปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างศึกษา 2 แนวทาง คือ 1.ก.ล.ต.สหรัฐอเมริกาอนุมัติ ETF ลงทุนในคริปโทฯบริษัทก็สามารถนำ ETF คริปโทฯมาเป็นส่วนหนึ่งของธีมการลงทุนได้ 2. บริษัทมีการสร้างอัลกอริทึม AI เพื่อไปวิเคราะห์ตัวคริปโทฯ และมาจัดเป็น Jitta Ranking Crypto โดยทำอย่างไรให้คำนวณคุณภาพและมูลค่าได้ดีที่สุด และสร้างพอร์ตให้นักลงทุนได้เลย
อย่างไรก็ตามยังต้องรอความชัดเจนกฎระเบียบของธนาคารและก.ล.ต.แต่ละประเทศ รวมถึงในไทย เพราะคริปโทฯ ยังเกี่ยวข้องกับการเงินการลงทุน รวมไปถึงเทรนด์ DeFi ด้วย ซึ่งหน่วยงานที่กำกับดูแลยังไม่อยากปล่อยให้ซื้อขายอย่างเสรี ยังต้องมีการควบคุมอยู่ อาจเกิดปัญหาได้ในอนาคต
“พื้นฐานของคริปโทฯยังต้องมองปัจจัยในอนาคตมากกว่า ซึ่งภาพยังไม่ชัด Learning Curve น้อย การวิเคราะห์พื้นฐาน มีโอกาสเบี่ยงเบนได้มากต่อให้มี ETF คริปโทเคอร์เรนซีก็ยังมีความเสี่ยง ดังนั้นถ้าเราเปิดให้ลงทุน นักลงทุนอาจจะต้องรับความเสี่ยงสูงกว่าธีมอื่นๆ"
อย่างไรก็ตามเมื่อปลายปี 2564 บลจ.เอ็มเอฟซี ประเดิมรายแรกของไทย ตั้ง กองทุนเมตาเวิร์ส“M-META” มูลค่า กองทุน 10,000 ล้านบาท มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลัก Roundhill Ball Metaverse ETF (META ETF) ซึ่งเป็น ETF กองทุนแรกในสหรัฐฯลงทุนในธุรกิจเกี่ยวข้องกับเมตาเวิร์ส คัดหุ้นใหญ่ 7 ธุรกิจหลัก ชูลงทุน 1-3 ปีขึ้นไป รับผลตอบแทน 12-13% คาดการณ์ว่าขนาดของตลาดเมตาเวิร์สจะมีมูลค่าสูงถึง 8 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2567และเพิ่มเป็น 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2573