สมาคมนักวิเคราะห์ฯ คาดกำไรบจ.ปี 65 โต 12% วางเป้าดัชนี 1,760 จุด
สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เผยผลสำรวจนักวิเคราะห์-ผู้จัดการกองทุน เพิ่มเป้าจีดีพีปี 65 เติบโต 3.71% จากครั้งก่อนคาดโต 3.67% คาดการณ์กำไรต่อหุ้นโต 12% ที่ 89.59 บาท พร้อมวางเป้าดัชนีปี 65 ที่ 1,760 จุด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 25 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในปี 2565 สรุปได้ดังนี้
นักวิเคราะห์เพิ่มสมมติฐานหลักด้านการขยายตัวของจีดีพีไทยปี 2565 จะเติบโตที่ 3.71% จากการสำรวจเมื่อ 3 เดือนก่อนที่ 3.67% ขณะที่เพิ่มสมมุติฐานด้านราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเป็น 69.90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ในครั้งก่อนใช้ตัวเลข 68.54 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ทิศทางการลงทุนในปี 2565 นี้จะได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะดีขึ้น โดยมีผู้โหวตถึง 92% และภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยมีผู้โหวต 84% ตามมาด้วยแนวโน้มความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนและโควิด-19 ในไทย มีผู้โหวต 80%
ส่วนปัจจัยด้านลบมาจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีผู้โหวตมากถึง 84% รองลงมาคือ การเตรียมลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ทั่วโลกมีผู้โหวต 72% และ ตามติดมาด้วย แนวโน้มสถานการณ์โควิดของโลกที่สูงขึ้นอีกครั้งมีผู้โหวต 68% ทางด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ความเห็นส่วนใหญ่ 79% มองว่าน่าจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดปีนี้
ส่วนทางด้านผลกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนปี 2565 เฉลี่ยที่ 89.59 บาทต่อหุ้น เป็นการเติบโต 11.82% จากปี 2564 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ต่ำกว่าการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 92.49 บาทต่อหุ้น
ทางด้านคาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 ถูกคาดการณ์ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสิ้นปี 2564 มากนัก โดยจะปิดสิ้นไตรมาสแรกที่ 1,665 จุด และเมื่อมองตลอดปีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,546 ถึง 1,782 จุด และคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2565 จะปิดที่ 1,760 จุด
นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุนแบ่งเป็น
เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 10.22%
กองทุนตราสารหนี้ 16.96%
หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 29.87%
หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 28.96%
กองทุนอสังหาฯ หรือ REIT 8.09%
ทองคำหรือกองทุนทองคำ 5.35%
อื่นๆ 0.57%
สำหรับในส่วนของการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจค้าปลีก ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และสื่อสาร ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจการเกษตรปิโตรเคมี การแพทย์และการท่องเที่ยว รายชื่อหุ้นเด่นที่แนะนำ คือ ADVANC CPALL EA KBANK และ SCB
ส่วนหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยง คือ ธุรกิจโรงแรมและสายการบิน รวมถึงหุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ บางบริษัทที่เคยวิ่งขึ้นกว่า 1,000% ในข่วงปี 2563-2564 เนื่องจากปัจจุบันแม้ราคาลงมาบ้าง แต่ยังคงเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐาน
ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไปยังรัฐบาล ได้แก่ การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ วางแผนโครงสร้างเทคโนโลยีการผลิตระยะยาว รวมถึงโครงข่ายสื่อสารและขนส่ง
นอกจากนั้นยังแนะนำให้ช่วยเหลือประชาชน โดยเร่งการฉีดวัคซีนเข็ม 3 รวมถึงมาตรการให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี เพื่อกระตุ้นภาคการบริโภค ส่วนด้านภาคธุรกิจนั้น ควรใช้นโยบายสนับสนุนสินเชื่อภาคธุรกิจเพิ่มเติม