TNH กำไร 1Q65 ทำนิวไฮหนุนปรับประมาณการเพิ่ม
งวด 1Q65 กำไรสุทธิ +19%QoQ +101%YoY ทำ New high : งวด 1Q65 (สิ้นสุด 31 ต.ค. 64) ออกมาดีกว่าคาดมีกำไรสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทที่ 141 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19%QoQ และ 104%YoY
เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้มีผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในที่ใช้สิทธิประกันสุขภาพหรือ UCEP รับไว้ในสถานพยาบาลเฉพาะกิจ (Hospitel) ที่เป็นเครือข่ายเพิ่มขึ้น และการให้บริการสถานที่กักตัวทางเลือก (ASQ) และสถานที่กักตัวในชุมชน (Community Isolation) รวมไปถึงรายได้จากการให้บริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้มีรายได้ค่ารักษาพยาบาล 693 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 15%QoQ และ 40%YoY อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นสู่ 33% จาก 32% ใน 4Q64 และ 26% ใน 1Q64 เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากการรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง กำไร 1Q65 คิดเป็น 44% ของประมาณการกำไรเดิมที่ 320 ล้านบาท
- ปรับประมาณการกำไรปี 65 เพิ่มขึ้น 12% : จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ในช่วง 2Q65 (สิ้นสุด 31 ม.ค. 65) มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับ 1Q65 (สิ้นสุด 31 ต.ค. 64) ทำให้คาดว่าผลประกอบการในช่วง 2Q65 มีแนวโน้มลดลง QoQ และคาดแนวโน้มผลประกอบการ 2H65 จะแผ่วลงจาก 1H65 หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย หรือทรงตัวในกรณีที่มีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 ฝ่ายวิจัยได้ปรับประมาณการรายได้เพิ่มขึ้น 3% เป็น 2,271 ล้านบาท ซึ่งเติบโต 11%YoY และปรับเพิ่มสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นจากเดิม 26% เป็น 28% เนื่องจากคาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปีงบการเงินจะยังมีผู้ป่วยโควิด-19 ต่อเนื่อง ส่วนครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากศูนย์ส่งเสริมสุขภาพองค์รวม (THAINAKARIN WELLNESS CENTER) ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 65 (สิ้นสุดก.ค. 65) เพิ่มขึ้น 12% จากเดิมเป็น 357 ล้านบาทซึ่งเติบโต 22%YoY
- อนาคตยังมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง : การเติบโตในอนาคตของธุรกิจโรงพยาบาลสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ระยาวของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางสุขภาพ 4 ด้าน ได้แก่ ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) ศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ศูนย์กลางบริการวิชาการ และงานวิจัย (Academic Hub) และศูนย์กลางยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Product Hub) ล่าสุดเมื่อเดือนธ.ค. 64 บอร์ดบริษัทได้อนุมัติจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาทถือหุ้น 99.97% โดยใช้เงินทุนหมุนเวียนประกอบธุรกิจเพื่อสุขภาพและโรงแรมในการขยายฐานลูกค้าที่เป็นผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงช่วยสร้างรายได้เพิ่มเติมจากธุรกิจหลัก ส่วนศูนย์รังสีรักษา (Linac Center) เพื่อให้บริการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งซึ่งคาดจะแล้วเสร็จและเริ่มบริการได้ราว 4Q65 (รวมในประมาณการแล้ว) ขณะที่โครงการโรงพยาบาลไทยนครินทร์ 2 ที่ปรับการก่อสร้างเป็นการทยอยทําทีละเฟสย่อยจึงไม่มีภาระในการกู้เงินเนื่องจากสามารถใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานราวไตรมาสละ 200-250 ล้านบาทมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการก่อสร้างซึ่งได้สะท้อนในประมาณการแล้ว
- ปรับคําแนะนําจาก “ถือ”เป็น “ซื้อ” ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมสำหรับปี 65 เป็น 39.80 บาท (จากเดิม 35.50 บาท) : ฝ่ายวิจัยยังมีมุมมองบวกต่อแนวโน้มธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอ ในการประเมินมูลค่าเหมาะสมซึ่งอิง Prospective P/E ที่ระดับเดิม 20 เท่ายังต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับ P/E กลุ่มในตลาด mai ที่ระดับ 54 เท่า และ P/E กลุ่มในตลาด SET ที่ 30 เท่า ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ที่ 16.5 เท่า เราประเมินกำไรต่อหุ้นปี 65 เท่ากับ 1.99 บาทได้ราคาเหมาะสมใหม่ปี 65 เท่ากับ 39.80 บาท (เดิม 35.50 บาท) ซึ่งมีอัพไซต์จากราคาปิดล่าสุด 24% พร้อมคาดการณ์ div. yield ราว 1.9% ต่อปี จึงปรับคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ”
การเปรียบเทียบข้อมูล PER และ PBV