ไทยออยล์ ลงทุนสตาร์ทอัพไทย ดันธุรกิจใหม่ด้านเฮลท์แคร์
ไทยออยล์ ลงทุนสตาร์ทอัพไทย สร้างธุรกิจใหม่ด้านเฮลท์แคร์ นำนวัตกรรมแผ่นแปะเข็มระดับไมโครชนิดละลายได้ หวังเป็นทางเลือกใหม่ทดแทนการใช้เข็มฉีดยา ลดเวลาการใช้งานจริงเหลือเพียง 2 นาที ตั้งเป้าปี2573 สร้างรายได้ธุรกิจใหม่10%
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไทยออยล์มีเป้าหมายที่จะต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจอื่นๆ หรือ New S-Curve โดยถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์เพื่อกระจายการเติบโตและสร้างความมั่นคงผ่านพอร์ตการลงทุนของบริษัทฯ ที่นอกจากการลงทุนในกองทุน Venture Capital แล้วยังจะแสวงหาโอกาสในการเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพที่สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตั้งเป้าหมายปี2573 จะมีรายได้จากธุรกิจใหม่ 10% ในขณะที่สัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงกลั่นปิโตรเลียม 40% ธุรกิจปิโตรเคมี 40% และธุรกิจโรงไฟฟ้า 10%
และด้วยวิสัยทัศน์ สร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน ไทยออยล์มีเป้าหมายที่จะต่อยอดธุรกิจสู่นวัตกรรมที่สามารถสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้คนในไทยสังคม ล่าสุด บริษัท TOP Ventures กลุ่มไทยออยล์ ได้จับมือกับ บริษัท ไมนีด เทคโนโลยี จำกัด (Mineed Tech) ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพไทยที่มีความเชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาสุขภาพหรือเฮลท์แคร์ คิดค้นนวัตกรรมแผ่นแปะเข็มระดับไมโครชนิดละลายได้ (Detachable Dissolvable Microneedles) เป็นทางเลือกใหม่ทดแทนการใช้เข็มฉีดยา
โดยเทคโนโลยีนี้ได้มีการพัฒนาต่อยอดด้วยการปลดเข็ม Microneedles ผสมตัวยาให้ฝังลงสู่ใต้ชั้นผิวหนังและตัวยาจะค่อยๆ ซึมไปยังตำแหน่งเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ มีประสิทธิภาพ และนวัตกรรมใหม่นี้ยังสามารถลดเวลาการใช้งานจริงให้เหลือเพียง 2 นาที เหมาะกับการใช้งานต่างๆ มากมาย เช่น การให้ยา เครื่องสำอาง หรือแม้กระทั่งสารบำรุงต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัท ไมนีด เทคโนโลยี จำกัด สามารถเริ่มผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านเครื่องสำอางค์ในรูปแบบ OEM ให้กับแบรนด์เครื่องสำอางของไทยและต่างประเทศ และยังมีการร่วมพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์กับเครือโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำของไทยอีกมากมาย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของไทยออยล์ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันศักยภาพธุรกิจของคนไทย สู่ตลาดสากล
ไทยออยล์มุ่งหน้าต่อยอดศักยภาพทางธุรกิจ และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนโดยมีกลยุทธ์ที่จะกระจายการเติบโตไปยังไปยังธุรกิจใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือธุรกิจใหม่เชิงนวัตกรรม ที่สอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคต ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้พอร์ตการลงทุนและเพิ่มเสถียรภาพของกำไร รองรับความผันผวนจากธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี ผ่านการลงทุนในกองทุนVenture Capital และธุรกิจสตาร์ทอัพ
โดยมีกรอบการลงทุนใน 3 กลุ่มเทคโนโลยีหลัก ได้แก่ 1. เทคโนโลยีสนับสนุนอุตสาหกรรมและการผลิต (Manufacturing Technology) 2. เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Technology) ครอบคลุมเรื่องกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาสุขภาพหรือเฮลท์แคร์, ธุรกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ (Bio Business), และ Circular Economy และ 3. เทคโนโลยีเปลี่ยนผ่านธุรกิจปิโตรเลียม และเทคโนโลยีที่สนับสนุนการลดการใช้น้ำมัน (Hydrocarbon disruption Technology)
ทั้งนี้ ไทยออยล์เป็นผู้ประกอบธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายนํ้ามันปิโตรเลียมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี2504 โดยมีธุรกิจหลักคือ การกลั่นนํ้ามันปิโตรเลียม ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 275,000 บาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลากหลาย เช่น ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจสารทำละลาย ธุรกิจบริหารการขนส่งทางท่อ ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาด ธุรกิจบริการจัดเก็บนํ้ามันดิบ นํ้ามันปิโตรเลียม และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และธุรกิจให้บริการด้านการสรรหาและคัดเลือกบุคลากรสำหรับกลุ่มไทยออยล์