จับตา ครม. ถกด่วนแก้สินค้าราคาแพงหลายชนิด
ที่ประชุมครม.หารือแก้ปัญหาสินค้าราคาแพง นายกฯสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหามาตรการดูแลด่วนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ด้านพาณิชย์ชงของบอุดหนุนโครงการขายหมูถูก
การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 11 ม.ค. 2565 ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม โดยประเด็นสำคัญครม.จะหารือปัญหาค่าครองชีพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาสินค้าทั้งราคาเนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ ก๊าซหุงต้ม และค่าโดยสารยานพาหนะ โดยนายกรัฐมนตรีจะกำชับให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องไปเร่งแก้ไขในเรื่องนี้
นอกจากนี้ต้องจับตาว่าจะหารือเรื่องของ โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ โรค ASF ในประเทศไทย หลังจากที่กลุ่มผู้ค้า นักวิชาการด้านการเกษตรและปศุสัตว์ออกมาเปิดเผยถึงโรค ASF ในไทยขณะที่กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บอกว่าให้รอผลตรวจจากแล็ปอีก 2 วัน ซึ่งเรื่องนี้กำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ปัญหาราคาเนื้อหมูแพงจนกระทบกับร้านค้า ประชาชน ขณะที่ ครม.ได้เคยอนุมัติงบกลางฯไปในปี 2563-2564 เพื่อให้แก้ปัญหานี้แล้ววงเงินรวม 940 ล้านบาท ขณะที่กระทรวงพาณิชย์จะเสนอ ครม.ของบกลางฯแก้ปัญหาราคาหมูแพง โดยของบกลางฯมาอุดหนุนราคาให้ผู้ค้าหมูที่กระทรวงพาณิชย์ไปขอให้ขายในราคาถูกกว่าท้องตลาด
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ธนกร วังบุญคงชนะ ระบุ ยนายกฯติดตามสถานการณ์และห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาหาร ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นในหลายประเภทอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด โดยกำชับสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันบูรณาการแก้ไขปัญหาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเร่งด่วน
พร้อมทั้งให้ติดตามสถานการณ์ และกำชับให้แต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงพาณิชย์ ให้ร่วมกำหนดเป็นมาตรการช่วยเหลือประชาชน ทั้งระยะสั้น และระยะยาวโดยไม่ให้กระทบกลไกตลาด รวมทั้งให้คาดการณ์ไปในอนาคตว่าเมื่อสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค มีราคาสูงขึ้นหลายชนิดอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ จะส่งผลให้ราคาสินค้าชนิดใด สูงขึ้นตามมาอีกหรือไม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีต้องการให้กำหนดวิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหาไปถึงอนาคตเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน
“กรณีที่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคโดยเฉพาะราคาไข่ไก่ และเนื้อไก่ เริ่มทยอยปรับราคาสูงขึ้นนั้น นายกฯได้กำชับให้กระทรวงพาณิชย์ เร่งเพื่อแก้ไขปัญหาโดยด่วน โดยกรมการค้าภายในจะลงพื้นที่ติดตามและหากพบการฉกฉวยขึ้นราคา ก็จะมีการดำเนินคดีอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้เป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค แต่หากมีความจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้าในรายการใดก็สามารถทำเรื่องมายังกระทรวงพาณิชย์ เพื่อพิสูจน์เป็นรายกรณีไปว่ามีความจำเป็นไม่ให้กระทบต่อเกษตรกรรายย่อยจากการกดราคาทางนโยบาย และเพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าขาดตลาดอีก”