‘แสนสิริ ’ยุติสงครามราคาเน้นทำเล-บริการ บาลานซ์สินค้าทุกกลุ่มราคา
ภาวะเศรษฐกิจเปราะบางจากปัจจัยลบรอบด้านรวมทั้ง "แรงกดดัน” ต้นทุนที่ดิน วัสดุก่อสร้าง ส่งผลให้แสนสิริ ประกาศยุติสงครามราคาหลังระบายสต็อกกำเงินสด 1.5 หมื่นล้านบาท หันมาใช้กลยุทธ์ เน้นทำเล บริการหลังการขายพร้อมบาลานซ์พอร์ต Affordable-ไฮเอนด์ ลดความเสี่ยง
“เศรษฐา ทวีสิน” ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงอสังหาฯในปี 2565 มีหลายเรื่อง ทั้งสินค้าราคาแพง โอมิครอน รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงที่มีผลกระทบ สังเกตได้จากการปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้น สวนทางกับกำลังซื้อที่เปราะบาง ซึ่งจะแก้ได้จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับโควิด ทุกคนสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้และที่สำคัญต้อง ”ไม่มี” ล็อกดาวน์ออกมา
ในส่วนของแสนสิริ ปีนี้จะให้ความสำคัญเรื่อง “ทำเล” และ “บริการหลังการขาย" เป็น “จุดขาย” เพราะสงครามราคาสิ้นสุดลงแล้ว !!
“เราไม่มีความจำเป็นต้องลดราคา เพราะสต็อกเหลือน้อยและมีเงินสด 15,000 ล้านบาท แต่ผมคงพูดแทนรายอื่นไม่ได้ นั่นหมายความว่า สงครามราคาในปีนี้จะไม่เกิดขึ้นเหมือนกับปี 2563 และ 2564”
เศรษฐา ระบุว่า การปรับขึ้นราคาให้สอดคล้องกับต้นทุนมีหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง ต้องเอาลูกค้าเป็นที่ตั้ง “ไม่ใช่” ว่าราคาที่ดินสูงขึ้นแล้วขึ้นราคาเพราะที่ดินบางแปลงซื้อมานานแล้ว มีการล็อกราคาวัสดุก่อสร้าง ไม่ควรขึ้นราคาเพราะรายได้ของลูกค้าลดลง ส่วนโครงการใหม่ ซื้อที่มาแพง ราคาวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น ก็ต้องมาดูว่าเหมาะสมว่าจะเปิดตัวตอนนี้หรือไม่ เพราะสภาพเศรษฐกิจค่อนข้างเปราะบาง
ปีนี้แสนสิริ มีแผนเปิดตัว 46 โครงการใหม่ มูลค่า 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 28 โครงการ คอนโด 18 โครงการ โดยมีสัดส่วนของ Affordable Segment 50% เพื่อให้เป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่าย ประกอบด้วยคอนโด แบรนด์คอนโด มี, เดอะ มูฟ, ดีคอนโด, เดอะ ไลน์ พร้อมไฮไลท์ด้วยการรุกคอนโดแบรนด์ “เดอะ เบส” ซึ่งปีนี้จะเปิดตัว 4 โครงการ มูลค่า 4,500 ล้านบาท
แนวราบ วางแผนเปิดตัวทาวน์โฮมราคาเข้าถึงง่าย แบรนด์ สิริ เพลส 8 โครงการ มูลค่า 6,100 ล้านบาท และมีแผนเปิดตัวบ้านและทาวน์โฮม “อณาสิริ” ที่ลูกค้าตอบรับสูงในปีที่ผ่านมา รุกแบรนด์ “สราญสิริ” ด้วยโฉมใหม่บ้านเดี่ยว ส่วนตลาดบนเปิดตัวแบรนด์ ”บุราสิริ และเศรษฐสิริ” ต่อเนื่อง รวมทั้งต่อยอดความสำเร็จของ Exclusive Modern Residence แบรนด์ “บูก้าน” และไฮไลท์ที่สำคัญของแนวราบคือการกลับมาของบ้านเดี่ยว ลักชัวรีแบรนด์ “นาราสิริ” 2 โครงการ มูลค่า 8,300 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายยอดขาย และยอดโอนปีนี้ 35,000 ล้านบาท
“อุทัย อุทัยแสงสุข” ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ กล่าวว่าบริษัทจะเน้นกระจาย 46 โครงการให้ทั่วถึงครอบคลุม รวมถึงระดับราคาที่ต้องปรับให้สามารถตอบโจทย์กำลังซื้อที่หลากหลาย ตั้งแต่ 1 ล้านบาทต้นๆ ถึงระดับไฮเอนด์ โดยใช้ "ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง" เข้ามาช่วยให้ถึงกลุ่มลูกค้าได้ถูกต้องแม่นยำ
ส่วนภาพรวมอสังหาฯ เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หากโควิดบรรเทาลงไปเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวบริษัทก็เตรียมการเพื่อรองรับลูกค้าต่างชาติที่กลับเข้ามาผ่านทางเอเจนท์และลูกค้าโดยตรง
ทั้งนี้อสังหาฯ มีความสัมพันธ์กับจีดีพี เช่น ปีนี้คาดการณ์จีดีพีโต 3% อสังหาฯจะโต 4.5-5% ได้ แต่ต้องยอมรับว่าไทยบอบช้ำมา 2 ปี อำนาจการซื้อลดลง ฉะนั้น 46 โครงการที่เปิดตัวจะมี 50% เป็นโครงการระดับ Affordable ราคาไม่สูงรองรับกลุ่มเรียลดีมานด์ ด้วยแบรนด์อณาสิริ ราคา 3-4 ล้านบาท ทาวน์โฮมสิริเพลส 2 ล้านบาท คอนโด 3 แบรนด์ ราคา 1 ล้านบาทต้นๆ, เดอะ มูฟ 2 ล้านบาท และ ดี คอนโด
อีกสิ่งที่จะดันตลาดคือลูกค้าที่เป็นดีมานด์อั้น (Pent Up Demand) โดยจะนำเสนอโครงการไฮเอนด์ อาทิ นาราสิริ และเศรษฐสิริ บุราสิริ ซึ่งปีที่ผ่านมาขายดีมาก 9,600 ล้านบาท
“การเปิดตัวเริ่มตั้งแต่ไตรมาสแรก 30% ไตรมาสสอง 20% ไตรมาสสาม 10% ไตรมาสสี่ 30% โดย 90% อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่เหลือ 10% อยู่ต่างจังหวัด”
ขณะเดียวกันเตรียมงบซื้อที่ดินไม่เกิน 20,000 ล้านบาทเพื่อรองรับแผนเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่ารวม 150,000 ล้านบาท พร้อมเป้าหมายยอดขายรวม 120,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี