เอกซ์เรย์... “3 หุ้นยักษ์รับเหมาไทย” !
จับตา “หุ้นรับเหมาก่อสร้าง” คว้างานประมูลเพียบ !! หลังรัฐส่งสัญญาณขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่สู่ตลาด สะท้อนผ่าน ครม. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณปี 2566 “3.18 ล้านล้านบาท” ส่งผลให้ “3 เอกชนไทย” ITD-CK-STEC กลับมา “คึกคัก” อีกครั้ง เตรียมตบเท้าเก็บแบ็กล็อกใน “ปีเสือทอง”
พลันที...!! มีกระแสข่าวว่ากระทรวงคมนาคมสรุปจัดทำงบประมาณปี 2566 วงเงิน “3.24 แสนล้านบาท” โดยมุ่งเน้นลงทุนก่อสร้างเป็นหลัก ดังนั้น อุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์ต่อประเด็นดังกล่าว คงต้องยกให้ “ธุรกิจรับเหมา-ก่อสร้าง” ซึ่งงบประมาณดังกล่าวจะเริ่มเดือนก.ย. 2565
ดังนั้น !! ในปี 2565 อาจจะกำลังเป็น “ปีเสือทอง” ของกลุ่มรับเหมาก่อสร้างอีกครั้ง หลังมีโอกาสช่วงชิงงานประมูลเข้ามาเติม “มูลค่างานในมือ” (Backlog) เพิ่มมากขึ้น จากปี 2564 ที่งานประมูลออกมาสู่ตลาดน้อยมาก จากความท้าท้ายครั้งใหญ่ หลังรัฐประกอบล็อกดาวน์แคมป์คนงานก่อสร้างเป็นเวลา 1 เดือน เนื่องจากมีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จำนวนมากทำให้ตลาดดังกล่าวเปลี่ยนไป
3ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่ไทย อ้างอิงตามบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อย่าง
- บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ หรือ ITD ของ “เปรมชัย กรรณสูต”
- บมจ. ช.การช่าง หรือ CK ของ “ปลิว ตรีวิศวเวทย์”
- บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรั๊คชั่น หรือ STEC ของ “ตระกูลชาญวีรกูล
ทว่า จากสารพัด ! ปัญหาถาโถมทำให้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง “หมดเสน่ห์” ในช่วงที่ผ่านมา แต่ตอนนี้กำลังขึ้นแท่นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจ “คัมแบ็ค” (ComeBack) อีกครั้ง... หลังโครงการลงทุนภาครัฐจะกลับมามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกลุ่มรับเหมาก่อสร้างในปี 2565
สะท้อนผ่านตัวเลขผลประกอบการย้อนหลัง (2562-งวด 9 เดือน ปี 2564) ของ 3 ผู้รับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่ไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) เริ่มมีทิศทาง “ทยอยฟื้นตัว” อาทิ
- “หุ้น ITD” มี “ขาดทุนสุทธิ” จำนวน -37.34 ล้านบาท -1,104.45 ล้านบาท และ -853.50 ล้านบาท
- “หุ้น CK” มี “กำไรสุทธิ” จำนวน 1,777.78 ล้านบาท 612.16 ล้านบาท และ 801.12 ล้านบาท
- “หุ้น STEC” มี “กำไรสุทธิ” จำนวน 1,483.64 ล้านบาท 1,093.13 ล้านบาท และ 334.98 ล้านบาท
สอดคล้องกับ “ดร.พรลภัส ณ ลำพูน” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป หรือ IND เล่าให้ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟังว่า “วิกฤติโควิด-19” เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างได้รับผลกระทบหนักสุด หรือเรียกว่าอาจจะเป็น “จุดต่ำสุด” ของธุรกิจแล้ว เนื่องจากทุกวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมา ภาครัฐไม่เคยชะลอหรือหยุดงบลงทุนโครงการขนาดใหญ่เฉกเช่นครั้งนี้ แต่ครั้งนี้รัฐบาลต้องนำเงินงบประมาณทั้งหมดไปใช้จ่ายใน “จุดที่สำคัญที่สุดก่อน” ของประเทศก่อน
อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 คาดว่ารัฐบาลจะถึง “โครงการระบบราง” ออกมาประมูลต่อเนื่อง หลังจากช่วงปี 2563-2564 ชะลอการลงทุนและดึงงบลงทุนไปช่วยระบบสาธารณสุขของประเทศก่อน อย่าง โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ , โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ,โครงการทางหลวงระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) เป็นต้น
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส (ASPS) ระบุว่า หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.)เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณปี 2566 จำนวน “3.18 ล้านล้านบาท” แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 2.49 ล้านล้านบาท และรายจ่ายลงทุนอีก 7แสนล้านบาท โดยในขั้นตอนถัดจากนี้ ร่างงบประมาณจะส่งต่อให้สภาพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ จากความคืบหน้าของงบประมาณปี 2566 ทำให้ ASPS ให้น้ำหนักกับงบประมาณรายจ่ายลงทุน โดยปีงบประมาณ 2566 ได้ปรับเพิ่มวงเงินเป็น 7 แสนล้านบาท จาก 6.2 แสนล้านบาทในปีก่อน และหากอิงตามสถิติย้อนหลัง พบว่างบรายจ่ายลงทุนแต่ละปีจะมีการเบิกจ่ายเฉลี่ยราว 72.2% วงเงินรายจ่าย “ลงทุน” ปี 2566 ที่เพิ่มขึ้นข้างต้น เชื่อว่าจะช่วยเสริมให้การลงทุนของรัฐเดินหน้าได้ต่อเนื่องมากขึ้น ซึ่งจะบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาโดยเฉพาะโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
สำหรับปี 2565 กระทรวงคมนาคมมีแผนดำเนินงาน ทั้งโครงการดำเนินการต่อเนื่องมาจากปี 2564 อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม สีเหลือง สีชมพู รวมไปถึงโครงการรถไฟทางคู่เฟสแรก แต่สิ่งที่กลุ่มรับเหมาสนใจจริงๆ คือแผนการเปิดประมูลโครงการใหม่ โดยมีโครงการทั้งหมด 25 โครงการ มูลค่ารวม 9.74 แสนล้านบาท ครอบคลุมทั้งโครงการทางบก ระบบราง และอากาศ
อย่างไรก็ตาม ในจำนวนนี้บางโครงการได้ตัวผู้รับเหมาก่อสร้างแล้ว จะเริ่มงานก่อสร้างในปีนี้ อย่างโครงการของการรถไฟแห่งประเทศไทยในโครงการที่ 14-16 และบางโครงการได้เข้าสู่ขั้นตอนการเปิดประมูลและคาดว่าจะได้ผู้ชนะภายในไตรมาส 1 ปี 2565 อย่างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ มูลค่าโครงการ 1.25 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการขับเคี่ยวกันของ 3 กลุ่ม คือ CK+STEC , ITD+NWR และ UNIQ
โดย ASPS คาดว่า CK และ ITD ที่มีประสบการณ์งานก่อสร้างรถไฟใต้ดินมาก่อน มีโอกาสสูงที่จะเป็นผู้ชนะงานใน 4 สัญญาแรก โดยอาจมี STEC ร่วมจับมือเป็น JV