ไทยเจ้าภาพประชุมเมล็ดพันธุ์พืชแห่งเอเชียและแปซิฟิค 65 วันที่ 14-18 พ.ย.นี้

ไทยเจ้าภาพประชุมเมล็ดพันธุ์พืชแห่งเอเชียและแปซิฟิค 65 วันที่ 14-18 พ.ย.นี้

สมาคมเมล็ดพันธุ์เตรียม จัดประชุมเมล็ดพันธุ์พืชแห่งเอเชียและแปซิฟิค ปี65 วันที่ 14-18 พ.ย.นี้ ชี้ ไทยฝ่าโควิดส่งออกปี63 กว่า 236 ล้านดอลลาร์

ดร. บุญญานาถ นาถวงษ์ นายกสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย เปิดเผยภายหลังการลงนามบันทึกข้อตกลง หรือ MOU เพื่อประกาศความร่วมมือในการเป็นประเทศเจ้าภาพของไทย ในการจัดงานประชุมเมล็ดพันธุ์พืชแห่งเอเชียและแปซิฟิค ประจำปี พ.ศ. 2565  ระหว่าง สมาคมเมล็ดพันธุ์พืชภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค (APSA= แอปซ่า)และสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย (THASTA=ทาสต้า

 

 โดยการประชุมดังกล่าว มีฐานสมาชิกเป็นภาคธุรกิจเมล็ดพันธุ์จากทั่วทุกมุมโลกว่า 500 สมาชิก ครอบคลุม 54 ประเทศ  นับเป็นก้าวแรกสู่การเตรียมงานประชุมธุรกิจเมล็ดพันธุ์ ครั้งที่ 7 ในประเทศไทยซึ่งถือเป็น “บ้าน” ที่ก่อกำเนิดการประชุมธุรกิจเมล็ดพันธุ์ของสมาคมเมล็ดพันธุ์พืชภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค  

ในงานประกอบด้วยกิจกรรม การจัดงานแสดงสินค้า การเจรจาการค้าเมล็ดพันธุ์ ในรูปแบบของการตั้งโต๊ะเจรจาการค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค   การพบปะเพื่อรับทราบถึงความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี กฎหมายที่เกี่ยวของกับการค้าเมล็ดพันธุ์ รวมถึงโอกาสทางธุรกิจเมล็ดพันธุ์ทั่วโลก  และการประชุมสามัญประจำปีของ APSA ซึ่งจะมีการจัดงานที่ประเทศไทยในช่วงระหว่างวันที่  14- 18 พฤศจิกายน  2565 นี้ 

 

โดยที่ผ่านมาประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำการส่งออกเมล็ดพันธุ์ระดับภูมิภาค ในปี พ.ศ. 2557 กรมวิชาการเกษตร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย (THASTA) ได้ร่วมกันดำเนินงานภายใต้นโยบายศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์ (Seed Hub Policy) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการปรับปรุงพันธุ์พืช การผลิตและการค้าเมล็ดพันธุ์ในระดับภูมิภาค

 

ซึ่งจากข้อมูลพบว่าในปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าการส่งออกเมล็ดพันธุ์ผักและเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดโดยรวมเป็นมูลค่า 236 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีถัดมา แม้ประเทศไทยจะได้รับผลการทบจากปัจจัยความแห้งแล้งและผลกระทบจาก โควิด-19 ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเกษตรและห่วงโซ่โดยรวมของภาคอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ ประเทศไทยก็ยังสามารถส่งออกเมล็ดพันธุ์ได้เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่า 239 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้สามารถยืนยันได้ถึงความแข็งแกร่งและการปรับตัวที่ดีของภาคอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ต่อความท้าทายอันหลากหลายที่เกิดขึ้น