KKP เผยกำไรปี 64 ที่ 6.3 พันล้าน พุ่ง 23.3%
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร เผยกำไรสุทธิปี 64 ที่ 6,318 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.3% และไตรมาส 4/64 กำไรสุทธิที่ 2,102 ถ้านบาท เพิ่มขึ้น37.4% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน หลังค่าฟีบริการธุรกิจตลาดทุนหนุน ปล่อนสินเชื่อมีคุณภาพ คุ้ม NPLที่3% และเงินกองทุนแกร่ง สำรองหนี้ลด
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า จากแนวทางที่ธนาคารได้ตั้งไว้ในการมุ่งสู่การเป็นสถาบันการเงินที่มีผลการดำเนินงานที่เป็นเลิศ ภายใด้การดำเนินงานใน 3 ธุรกิจหลัก เป็นสิ่งที่ธนาคารได้ยึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินงานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในการมุ่งเน้นเสริมสร้างและพัฒนาธุรกิจหลักด้านต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้ธนาคารมีการกระจายรายได้และสร้างโอกาสในการหาผลตอบแทนที่เหมาะสมใน รูปแบบต่างๆ ซึ่งสามารถช่วยลดทอนผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาได้ค่อนข้างมาก ส่งผลให้ธนาคารมีผลการดำเนินงานสำหรับปี 2564 อยู่ในระดับที่ดี
โดยธนาการเกียรตินาดินภัทรและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิสำหรับปี 2564 จำนวน 6,318 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.3 เมื่อเทียบกับปี 2563 และมีกำไรเบ็ดเสร็จรวมจำนวน 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.5 จากปีก่อน
สำหรับไตรมาส 4 ปี 2564 ธนาคารและบริษัทบ่อยมีกำไรสุทธิ เท่ากับ 2,023 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 82.6 จากไตรมาสเดียวกันของปี 2563 และมีกำไรเบ็ดเสร็จรวมเท่ากับ 2,102 ถ้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
สำหรับปี 2564 ธุรกิจหลักด้านต่างๆของธนาการยังคงความสามารถในการสร้างรายได้ในระดับที่ดี โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจตลาดทุนที่มีผลการดำเนินงานที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก ส่งผลให้รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.1 จากปี 2563
โดยหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจ Private Wealth Management ตามการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้ คำแนะนำการลงทุน รายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น โดย บริษัทหลักทรัพย์ เกียรดินากินภัทร จำกัด
(มหาชน) ยังคงมีส่วนแบ่งตลาด ที่ร้อยละ 14.04 คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดอันดับที่ 1 อย่างต่อเนื่อง
ธุรกิจวานิชธนกิจสามารถทำรายได้ในระดับที่ดีจากการทำธุรกรรมที่สำคัญหลายรายการในระหว่างปี รวมถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจการจัดการกองทุนตามสินทรัพย์กายใด้การจัดการที่ปรับเพิ่มขึ้น ในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันที่ร้อยละ 7.0 จากการที่สินเชื่อของธนาคารยังคงเติบโตได้ในระดับที่ดีตลอดปี 2564 ในด้านของค่าใช้ง่ยธนาการยังคงควบคุมค่ใช้จ่ายโดยรวมได้อย่าง
มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิยังคงปรับลดลงต่อเนื่อง
โดยสำหรับปี 2564ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 39.0 ทางด้านการตั้งสำรองธนาคารยังคงรักษาความรอบกอบระมัดระวังในการพิจารณาสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยธนาคารมีการสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่ดาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับปี 2564 เป็นจำนวน 5,201 ล้านบาท ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2564 และไดส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธนาคารโดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจการให้สินเชื่อด้วยนั้น
ธนาคารได้ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือลูกค้าตลอดระยะเวลาของสถานการณ์การแพร่ะระบาคที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาธุรกิจใน
ด้านต่างๆ สำหรับในส่วนของสินเชื่อนั้นธนาคารสามารถรักษาการเติบโตได้ในระดับที่ดี โดยสำหรับปี 2564 สินเชื่อรวมของธนาการมีการขยายตัวที่ร้อยละ 165 จากสิ้นปี 2563
ทางด้านคุณภาพของสินเชื่อ ธนาการยังสามารถกวบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการมุ่งเน้นการขยายสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมและมีคุณภาพสินเชื่อที่ดี ส่งผลให้อัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 3.0 โดขยังคงเปีนระดับใกล้เดียงกับสิ้นปี 2563 ที่อยู่ที่ร้อยละ 2.9 ทั้งนี้ธนาการมีอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่ด้านเครคิดอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 17.1
สำหรับเงินกองทุน ธนาคารยังคงมีสถานะเงินกองทุนอยู่ในระดับที่สูงและเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด โดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดย ฌ สิ้นปี 2564 ธนาการมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ร้อยละ 16.41