“ปริญญ์”นำทีมคริปโทฯ พบคลังชงยกเว้นภาษี 5 ปีหนุนธุรกิจดิจิทัลเติบโต
"ปริญญ์" นำทีมวงการคริปโทเคอร์เรนซี - บล็อกเชน พบ "คลัง" วอนส่งเสริมฟินเทคหนุนมูลค่าเศรษฐกิจไทย ป้องกันนักลงทุนหนีลงทุนต่างประเทศ เสนอยกเว้นภาษีคริปโทเคอร์เรนซี - สตาร์ทอัพเป็นระยะเวลา 5 ปี ตอกย้ำจุดยืน "ฟรีภาษี เสรีคริปโทเคอร์เรนซี" ชี้จะเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ให้ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเติบโต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (25 ม.ค.65)นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทยนำทีมกลุ่มนักธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมการเงินยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (ฟินเทค) อาทิ ศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย, ฉวีวรรณ เกียรติดุริยกุล กรรมการและทนายความหุ้นส่วน เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ ปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้ง Satang Pro สกลกรย์ สระกวี ประธาน กลุ่ม Bitkub S.Jack Heffernan ผู้ก่อตั้ง Knightsbridge Group และฐปนรรฑ์ ศรีบรรดิษฐ์ เจ้าของเพจ Lady Crypto เป็นต้น เข้าพบ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร และนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)
นายปริญญ์ กล่าวว่า การเข้าพบในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอมุมมองของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมการเงินยุคใหม่ ให้ภาครัฐได้รับทราบทั้งอุปสรรคและโอกาส ซึ่งเชื่อว่าหากได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาล จะทำให้อุตสาหกรรมนี้ เพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อีกมหาศาล โดยเฉพาะในภาคธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งมีศักยภาพ และโอกาสในการเติบโต แต่กำลังเผชิญกับอุปสรรคสำคัญเรื่องการจัดเก็บภาษี แม้จะมีการบังคับใช้กฎหมายมาแล้วถึง 3 ปี แต่ในทางปฏิบัติกลับยังไม่มีความชัดเจน
เขากล่าวว่า ที่ผ่านมา ตนในฐานะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย ก็ได้เข้าพบกรมสรรพากรหลายครั้งเพื่อหารือในแนวทางการจัดเก็บภาษี ซึ่งทางกรมสรรพากรก็กำลังเร่งออกแนวทางการจัดเก็บอย่างเร่งด่วน แต่มองว่าอาจจะไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสม เพราะการมาเร่งกระบวนการทำงานเพื่อหาข้อสรุปในระยะเวลาอันสั้นอาจได้ไม่คุ้มเสีย โดยเฉพาะผลกระทบต่อนักลงทุนรายย่อยที่จะเกิดความยุ่งยากในทางปฏิบัติ อาจนำไปสู่ตัดสินใจย้ายไปเทรดในตลาดต่างประเทศแทน
"ผมเชื่อในแนวคิด ฟรีภาษี เสรีคริปโทเคอร์เรนซี ฉะนั้น การยกเว้นหรือเลื่อนการจัดเก็บภาษีคริปโทเคอร์เรนซีออกไปก่อนสัก 5 ปี หรือแม้กระทั่งการให้นำมาเป็นค่าลดหย่อนได้ จะเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ให้ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเติบโต เพราะตลาดนี้ยังไม่โตเต็มที่การเก็บภาษีในช่วงเวลานี้นักลงทุนอาจย้ายหนี เพราะธุรกิจนี้เป็น Global นักลงทุนสามารถเลือกเทรดกับเอ็กซ์เช้นจ์ต่างประเทศได้ไม่ยาก ตรงนี้จะทำให้สตาร์ทอัพด้านสินทรัพย์ดิจิทัลไทยเสียโอกาส" นายปริญญ์ กล่าว
เขากล่าวด้วยว่า เมื่อมีการยกเว้นหรือชะลอการเก็บภาษีคริปโทเคอร์เรนซีออกไปก่อนอุตสาหกรรมจะเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ จึงค่อยกลับมาพิจารณาการจัดเก็บภาษีนักเทรด ส่วนในแง่ของภาษีที่เก็บจากผู้ประกอบการ เมื่อถึงตอนนั้นธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลก็จะแข็งแรงแล้ว รัฐบาลย่อมสามารถที่จะจัดเก็บภาษีนิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากค่าธรรมเนียมการเทรดได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และอาจเป็นไปได้ที่จะมียอดจัดเก็บได้มากกว่าภาษีจากนักลงทุนรายย่อยด้วยซ้ำ
“ไม่ใช่เพียงแค่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีคริปโทเคอร์เรนซีเท่านั้น ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการเติบโตของอุตสาหกรรม แต่ยังรวมถึง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี NFT (Non-Fungible Token) ที่ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ส่งสัญญาณการเข้ามากำกับดูแล”
เขากล่าวว่า ตรงนี้มองว่ายังเร็วเกินไปเพราะเทคโนโลยี NFT เพิ่งจะเริ่มต้น การออกกฎหมายมาควบคุมจะทำให้อุตสาหกรรมหดตัวทั้งที่ยังไม่ทันได้เติบโต ผู้ประกอบการตลาด NFT อาจหนีไปต่างประเทศ คนซื้อขายก็จะไปใช้บริการตลาดต่างประเทศ เนื่องจากตลาดนี้ก็เป็น Global และต้องยอมรับว่าปัจจุบัน NFT คือ อีกช่องทางในการหารายได้เพิ่มของศิลปินรายเล็ก ได้เข้ามาในพื้นที่นี้เพื่อสร้างรายได้ในโลกดิจิทัล
"แม้ว่าตอนนี้ทางรัฐบาลก็พยายามช่วยเต็มที่ในการสนับสนุนสตาร์ทอัพ เช่น การยกเว้นภาษี Capital Gains Tax สำหรับการลงทุนในสตาร์ทอัพไทย ตรงนี้เราเข้าใจ และขอบคุณทางรัฐบาล แต่ทางเราก็อยากเห็นรัฐบาลสนับสนุนให้มันครบองค์รวม ที่ครอบคลุมถึงระบบนิเวศน์ของฟินเทคโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะภาคส่วนนี้สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจของประเทศได้อีกมาก ซึ่งการที่ระบบนิเวศน์นี้จะเติบโตได้จะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร และองค์ประกอบที่สำคัญเลยคือ การได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องภาษี" หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังได้เสนอในที่ประชุมในเรื่องของการผลักดันให้รัฐบาลนำบล็อกเชนมาใช้ในการ "ตรวจสอบงบประมาณของภาครัฐ" เพื่อลดการทุจริตและคอร์รัปชัน เช่น การจัดซื้อ จัดจ้างต่างๆ หากตรวจสอบได้ด้วยบล็อกเชนจะช่วยให้เกิดความยุติธรรม ประชาชนสามารถตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส ด้วยเหตุนี้จะทำให้การใช้เงินภาษีของประชาชนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด
“ประโยชน์ของระบบบล็อกเชน จะช่วยให้สตาร์ทอัพและ SMEs สามารถระดมทุนได้คล่องตัวมากขึ้นจากผู้ที่มีเงินทุนส่วนเกินทั้งนักลงทุนไทย และนักลงทุนต่างชาติ ได้เข้ามาลงทุนในบริษัทขนาดเล็กเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการระดมทุนแบบ ICO หรือแบบ STO ก็ตาม เพราะการระดมทุนผ่านตลาดหุ้นอาจต้องใช้เวลาและมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดกว่า ดังนั้น ภาษีที่เกี่ยวข้องกับการระดมทุนเหล่านี้ก็ต้องไม่เป็นอุปสรรคด้วยเช่นกัน”
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์