"ศูนย์ฯสิริกิติ์" ตั้งเป้ารายได้โต 5 เท่า! ชู "BALM" รีเทลโฉมใหม่ดันทราฟฟิก
หลังจาก “ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์” ประกาศเตรียมเปิดให้บริการในเดือน ก.ย.2565 หลังจากเปิดให้บริการมา 30 ปี มีจำนวนการจัดงานสะสมกว่า 30,000 งาน ใช้เวลาปรับปรุงราว 3 ปีเศษ คาบเกี่ยวช่วงวิกฤติโควิด-19
มุ่งก้าวสู่เป้าหมายการเป็น “The Ultimate Inspiring World Class Event Platform for All” ครอบคลุมการจัดงานทุกรูปแบบ ในฐานะศูนย์ประชุมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมือง!
ศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ศูนย์ฯสิริกิติ์ตั้งเป้ามีรายได้เติบโตกว่าเดิมเกือบ 5 เท่า! ด้วยกลยุทธ์ “Strategic Venue” เพิ่มศักยภาพของโครงการด้วยการขยายพื้นที่รวม 300,000 ตารางเมตร ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 5 เท่า หรือเทียบเท่ากับสนามฟุตบอลกว่า 50 สนาม รองรับการจัดงานระดับนานาชาติหรืออีเวนท์ระดับโลก ทั้งคอนเสิร์ตและโชว์ต่างๆ ขนาดเล็กไปถึงใหญ่ ครอบคลุมอีเวนท์ด้านไลฟ์สไตล์ เทรดแฟร์ คอนซูเมอร์แฟร์ เกมโชว์ และอี-สปอร์ต โดยจะดึงดูดจำนวนผู้จัดงานและผู้เข้าใช้บริการได้มากขึ้นเป็น 13 ล้านคนต่อปี จากเดิมที่เคยมี 6 ล้านคนต่อปี
ผ่านการแก้ไขจุดอ่อนหรือ “Pain Point” ของศูนย์ฯสิริกิติ์เดิม ให้มีที่จอดรถมากขึ้นเป็น 3,000 คันในชั้นใต้ดิน เพิ่มขึ้น 10 เท่า มีจุดโหลดดิ้งสินค้าในแต่ละฮอลล์จัดแสดงสินค้าที่เรามีทั้งหมด 2 ชั้น คิดเป็น 50,000 ตารางเมตรเพื่อรองรับดีมานด์ของผู้จัดงานที่ต้องการขนสินค้าเข้า-ออกได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การออกแบบพื้นที่ต่างๆ ยังยืดหยุ่นในการใช้งาน การออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และการใช้เทคโนโลยีของศูนย์ฯให้ตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยและสุขอนามัย เข้าถึงรถไฟฟ้าใต้ดินได้เลย รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ “รีเทล” ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 30% เป็น 11,000 ตารางเมตร สำหรับเป็นจุดนัดพบ เจรจาธุรกิจ และใช้บริการด้านไลฟ์สไตล์ต่างๆ
อีกกลยุทธ์คือ “Strategic Location” เนื่องจากศูนย์ฯสิริกิติ์ตั้งอยู่บนโลเกชันที่ดีที่สุดในเมือง แวดล้อมไปด้วยโครงการอสังหาริมทรัพย์มากมาย สามารถเติบโตเคียงคู่กับ “เพื่อนบ้าน” และ “พันธมิตร” ต่างๆ เช่น สวนป่าเบญจกิติ ที่เป็นสวนคู่บารมีของศูนย์ฯสิริกิติ์ ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือน ส.ค.นี้, โครงการ เดอะ พาร์ค ที่มีทั้งอาคารสำนักงาน คอมมูนิตี้มอลล์ และโรงพยาบาลเมดพาร์ค, โครงการ เอฟวายไอ เซ็นเตอร์ ซึ่งนอกจากจะมีอาคารสำนักงานแล้ว ยังมีโรงแรม โมเดน่า บาย เฟรเซอร์ กรุงเทพฯ ด้วย
ขณะที่ปี 2566 จะมีโครงการ วัน แบงค็อก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯเตรียมเปิดให้บริการ รวมถึงโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ก็จะมีการทยอยเปิดบางส่วนในปีหน้าเช่นกัน ยาวไปจนถึงโครงการสีลมเอจ และโครงการสามย่าน มิตรทาวน์ บนถนนพระรามสี่
“ศูนย์ฯสิริกิติ์จะเป็นอีกหนึ่งโครงการสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนย่านถนนพระรามสี่ให้มีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ เทียบเท่ากับถนนสุขุมวิทหรือสีลมในอนาคต และมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้เป็นอย่างดีด้วย”
ทั้งนี้ในช่วง 4 เดือนแรกที่ศูนย์ฯสิริกิติ์เปิดให้บริการ ตั้งแต่ ก.ย.-ธ.ค.2565 ยังคง “เนื้อหอม” ได้รับความสนใจจากผู้จัดงานเกินความคาดหมาย จะมีอัตราการใช้พื้นที่ (Occupancy) ที่ 70% โดยมาจากงานต่างประเทศ 60% และงานภายในประเทศ 40% ต่างจากคาดการณ์เดิมก่อนเกิดโควิด-19 ที่เคยคาดว่าจะเป็นงานต่างประเทศ 70% ส่วนงานภายในประเทศอยู่ที่ 30%
โดยการจัดงานในเดือน ก.ย.นี้ ประเดิมด้วยงาน Food & Hotel Thailand ในวันที่ 21-24 ก.ย. และงาน ASEAN Sustainability Energy Week ในวันที่ 14-16 ก.ย. นอกจากนี้ยังมีงานที่เคยเป็น “แฟนคลับประจำ” ที่พร้อมกลับมาจัดงานที่ศูนย์ฯสิริกิติ์แน่นอน เช่น งานสัปดาห์หนังสือ งานคอนซูเมอร์แฟร์ด้านท่องเที่ยว งานคอนซูเมอร์แฟร์ด้านคอมพิวเตอร์และไอที และงานด้านธุรกิจการเงิน หลังต้องย้ายไปจัดที่อื่นแล้วพบว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่ากับจัดที่ศูนย์ฯสิริกิติ์
ส่วนปี 2566 ตั้งเป้ามีอัตราการใช้พื้นที่ 80% เทียบเท่าจุดเดิมที่เคยทำได้สูงสุด ด้วยจำนวนงานกว่า 130 งาน และได้รับความสนใจเป็นอย่างดี มีการจองพื้นที่จัดงานยาวไปจนถึงปี 2568 แล้ว
ธีรนันท์ กรศรีทิพา รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจรีเทล เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) กล่าวเสริมว่า การเปิดตัวพื้นที่รีเทลของศูนย์ฯสิริกิติ์โฉมใหม่นี้ จะเป็นศูนย์รวมด้านแอคทีฟไลฟ์สไตล์เต็มรูปแบบแห่งแรกของกรุงเทพฯ หรือ “Bangkok Active Lifestyle Mall” (BALM) โดยปรับขนาดพื้นที่ใหญ่ขึ้นจากเดิมที่ 7,200 ตารางเมตร เป็น 11,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นโซนประกอบด้วย กลุ่มร้านค้าอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มอีเวนต์ซัพพอร์ต และกลุ่มแอคทีฟไลฟ์สไตล์ ซึ่งจะรองรับความต้องการของกลุ่มผู้รักสุขภาพและการออกกำลังกาย
“บริษัทฯมั่นใจว่า BALM จะได้รับการตอบรับที่ดีและเป็นอีกหนึ่งแหล่งพบปะสังสรรค์แห่งใหม่ย่าน CBD ซึ่งจะครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น ซึ่งมีประชากรที่อยู่อาศัยใกล้ศูนย์ฯสิริกิติ์ในรัศมีการเดินทาง 15 นาที ประมาณ 3 แสนคน และประชากรที่เดินทางมาทำงาน ทำธุรกิจในศูนย์ฯสิริกิติ์ เดอะพาร์ค เอฟวายไอฯ เขตวัฒนา และเขตยานนาวาอีก 1 แสนคน ไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มผู้จัดงานและผู้เยี่ยมชมอีเวนต์ที่คาดการณ์มี 13 ล้านคนต่อปี”
ปัจจุบันมีร้านอาหารและร้านค้าแบรนด์ชั้นนำจำนวนมากให้ความสนใจพื้นที่ โดยได้ทยอยเซ็นสัญญาแล้วกว่า 20% ของพื้นที่รีเทลทั้งหมด และยังมีลูกค้าอีกจำนวนมากที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจา ทั้งนี้บริษัทฯคาดว่าภายในไตรมาสแรกของปีนี้ จะสามารถปิดดีลผู้เช่าได้เพิ่มขึ้นเป็น 40%