"สุริยะ" ชงตั้งอนุกรรมการร่วมฯ สอบกรณีน้ำมั่นรั่ว ป้องกันเหตุเกิดซ้ำ
"สุริยะ" ชงนายกรัฐมนตรี ตั้งอนุกรรมการร่วมฯ ป้องกันเหตุน้ำมันรั่วซ้ำ สั่งกนอ. จี้ SPRC ชดใช้ค่าเสียหายทั้งระยะสั้นและระยะยาว
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีน้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเลของ บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC นั้น ได้รายงานให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับทราบ เพื่อขอให้พิจารณาจัดตั้งอนุกรรมการเพื่อทำหน้าที่สืบค้นปริมาณการรั่วไหลที่แท้จริง หาสาเหตุของปัญหา รวมทั้งมาตรการการแก้ที่ต้นเหตุ
โดยจะประกอบด้วย ผู้แทนจากชุมชนท้องถิ่น ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้แทนจังหวัด ผู้แทนกรมเจ้าท่า กรมทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่ง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรมควบคุมมลพิษ และกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น
ทั้งนี้ อนุกรรมการร่วมฯ ที่จะจัดตั้งขึ้น มีหน้าที่วิเคราะห์สาเหตุ ตรวจสอบความเหมาะสมของวิธีการและวงรอบในการทำการซ่อมบำรุงระบบต่างๆ ในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง และพิจารณาออกกฎระเบียบหรือเสนอกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยภายหลังจากได้ผลสรุปที่เหมาะสม จะนำไปขยายผลรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงนำไปพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาในรูปแบบเดียวกันนี้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สั่งการไปยังผู้บริหารของ SPRC ชดใช้ค่าเสียหายกรณีน้ำมันดิบรั่ว และแสดงความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่า กนอ. กล่าวว่า กนอ.ได้ดำเนินการตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมแล้ว โดยได้สั่งการให้บริษัท SPRC แสดงความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม แม้ว่าภารกิจหลักของกระทรวงอุตสาหกรรมคือการดูแลโรงงานและโรงกลั่น และการดูแลท่อและทุ่นขนถ่ายน้ำมันในทะเลจะไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของ กนอ. แต่ กนอ.ก็พยายามมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ โดยยึดหลักการของการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน ระหว่างอุตสาหกรรม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม
โดยขณะนี้บริษัท SPRC ได้ออกแถลงการณ์ระบุถึงมาตรการด้านการเยียวยาต่างๆ แล้ว ซึ่งทางบริษัทฯ ยินดีที่จะรับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งระยะสั้นและระยะยาว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับทางจังหวัดในการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ในกรณีน้ำมันดิบรั่วไหลอีกด้วย ซึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลสามารถติดต่อและยื่นเรื่องได้ที่จุดรับเรื่องราวร้องทุกข์ กรณีพบคราบน้ำมัน หรือกรณีพบน้ำมันดิบรั่วไหล
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 ม.ค.2565 ศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการในการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน ทัพเรือภาคที่ 1 (ศคปน.ทรภ.1) ระบุว่า ไม่พบคราบน้ำมันในทะเลตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 30 ม.ค.2565 ซึ่งสอดคล้องกับภาพถ่ายจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ขณะที่การเก็บกู้ชายหาดนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแล้วเสร็จประมาณ 90% รวมถึงจัดให้มีสายด่วนเพื่อรับแจ้งกรณีพบคราบต้องสงสัยบริเวณชายหาดเพิ่มเติม ซึ่งจะมีหน่วยเคลื่อนที่เร็วเข้าไปพิสูจน์และเก็บกู้คราบน้ำมันด้วย
สำหรับกรณีที่สังคมยังสับสนเกี่ยวกับตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบที่รั่วไหลออกมานั้น ขอชี้แจงว่า เป็นการคำนวณปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลจากท่ออ่อนส่งน้ำมันด้านล่าง (Submarine Hose) ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ โดยใช้หลักการทางวิศวกรรม (Pressure Balance) เข้ามาคำนวณว่า มีปริมาณน้ำมันดิบรั่วไหลประมาณ 5 หมื่นลิตร
ขณะที่ตัวเลขที่มีการเผยแพร่ในวันแรกว่า มีน้ำมันรั่วไหลจากท่อที่ใช้ในการโหลดจากเรือประมาณ 4 แสนลิตรนั้น เป็นตัวเลขที่บริษัทได้ประเมินปริมาณการรั่วไหลของน้ำมันจากกรณี Worst case หรือในแบบที่เสียหายมากที่สุด จากการกระจายตัวของน้ำมัน แต่สามารถระงับเหตุได้ก่อน
ส่วนสาเหตุที่ไม่สามารถหาจุดที่น้ำมันดิบรั่วไหลได้ทันทีนั้น เนื่องจากท่อดังกล่าวมีอายุการใช้งานมานาน จึงไม่มีเซ็นเซอร์บอกจุดที่มีการรั่วไหลเหมือนกับท่อรุ่นใหม่