ยึดลงทุนอสังหาฯ แนวราบ “ดาวเด่น” PEACE !
“พีซแอนด์ลีฟวิ่ง” อสังหาฯ ที่ถือกำเนิดจาก “กลุ่มผู้บริหารปูนใหญ่” ผ่านการเติบโตตลอด 30 ปี ! ด้วยกลยุทธ์บริหารต้นทุนค่าวัสดุดิบ-ก่อสร้างมีประสิทธิภาพ “จุดขาย” หุ้นน้องใหม่ไอพีโอ ระดมทุนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) 84 ล้านหุ้น ในราคา 3.98 บาท เทรดวันแรก 10 ก.พ. นี้
เมื่อจุดเริ่มต้นธุรกิจ... ! เกิดจากความตั้งใจอยาก “เปลี่ยนที่ดินวางเปล่าเป็นธุรกิจ” ของ “อดีตกลุ่มผู้บริหารปูนซิเมนต์ไทย” (บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC) นับตั้งแต่ปี 2538 จึงเป็นที่มาของลงทุน “พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ” ของ บมจ. พีซแอนด์ลีฟวิ่ง หรือ PEACE โครงการแรกในจังหวัดกาญจนบุรี นั่นคือ “โครงการประเภทรีสอร์ท” ภายใต้ชื่อโครงการ “บ้านป่าริมธาร”
ต่อมาเล็งเห็น “โอกาส” และ “ความต้องซื้อบ้าน” ของลูกค้าใน จังหวัดระยอง จึงขยายการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรร ประเภทบ้านเดี่ยว ภายใต้ชื่อโครงการ “บ้านลมทะเล” ซึ่งประสบความสำเร็จตั้งแต่แรก ! เนื่องจากเป็นช่วงที่พื้นที่จังหวัดระยองกำลังอยู่ในช่วงบูมของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งดีมานด์ความต้องการที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นจากพนักงาน (วิศวกร) ที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
และในปี 2545 ขยับการลงทุนเข้าสู่พื้นที่ “กรุงเทพมหานคร” (กทม.) ที่ถือเป็น “ขุมทรัพย์ใหญ่” จากความต้องการที่อยู่อาศัยในระดับสูง ผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้นับจากอดีตถึงปัจจุบันบริษัทมีการพัฒนาโครงการมาแล้วรวมทั้งสิ้น 25 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1.65 หมื่นล้านบาท !
ด้วย “จุดเด่น” ของ “พีซแอนด์ลีฟวิ่ง” เป็นผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีประสบการณ์มากว่า 30 ปี ! ถือเป็นหุ้นอสังหาฯ น้องใหม่ไอพีโอตัวล่าสุดมีแผนเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 84 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 20% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 3.98 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) 10 ก.พ. 2565
การระดมทุนในครั้งนี้... มีวัตถุประสงค์นำเงินไปใช้ไปใช้ซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท
“ประสพศักดิ์ ศิริโสภณา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. พีซแอนด์ลีฟวิ่ง หรือ PEACE ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ว่า การที่บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเสริมศักยภาพในการสร้างการเติบโตต่อไปในอนาคต โดยที่เงินที่ได้จากการเสนอขาย IPO จะนำไปใช้ในการซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการ โดยที่ในช่วง 1-2 ปี (2565-2566) โดยจะซื้อที่ดินในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก
เนื่องจาก ยังคงเป็นทำเลที่คนมี “ความต้องการ” (ดีมานด์) ซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นจะเริ่มมองการซื้อที่ดินในต่างจังหวัดเข้ามาเสริมเพื่อขยายตลาดในอนาคต โดยมีความสนใจเข้าไปพัฒนาในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการพัฒนาโครงการในจังหวัดระยองมาก่อนแล้ว
หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว วางเป้าหมายการเติบโตทั้ง “รายได้และกำไร” ในช่วง 3 ปีเป็น “2เท่าตัว” จากปี 2564 และค่อยๆ เติบโตต่อเนื่องในช่วง 5 ปี เนื่องจากบริษัทยังมีฐานต่ำ ดังนั้น จึงสามารถสร้างการเติบโตได้สูง โดยบริษัทมองว่าการขายที่อยู่อาศัยยังคงมีการค่อยๆ เติบโตขึ้นต่อเนื่อง และฟื้นตัวกลับมาหลังจากผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ไปแล้ว
โดยเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา ทำให้บริษัทยังคงมองเห็นโอกาสในการเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ออกมาทุกปี ซึ่งยังคงเป็นโครงการแนวราบเป็นหลัก เพราะว่าในปัจจุบันสัดส่วนของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมได้เปลี่ยนมาเป็นโครงการแนวราบมากขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้นมาเป็นสัดส่วน 60% จากเดิมที่ 40% และโครงการคอนโดมิเนียมได้ลดสัดส่วนมาที่ 40% จากเดิมที่ 60% ซึ่งยังคงมองว่าสัดส่วนจะยังคงเป็นแบบนี้ไปอีกหลายปี
สำหรับแผนงานในปี 2565 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท อยู่ใน 3 ทำเล คือ เจษฎาบดินทร์, กรุงเทพกรีฑา-ร่มเกล้า และบางกรวย-ไทรน้อย ภายใต้แบรนด์ cher เป็นหลัก ซึ่งเป็นไปตามแผนงานของบริษัท และเมื่อรวมกับโครงการที่บริษัทอยู่ระหว่างการขายอีก 7 โครงการ มูลค่าเหลือขายกว่า 2,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีสินค้ารองรับการขายให้กับลูกค้ารวมมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ที่รองรับการเติบโตของบริษัทหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และยังมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่อีก 600 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้เข้ามา
ขณะที่ในด้านต้นทุนของบริษัทถือว่ามีความการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพมาต่อเนื่อง แม้ว่าในปัจจุบันราคาต้นทุนและค่าก่อสร้างจะเพิ่มสูงขึ้น แต่การที่บริษัทมีพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับการผลิตที่ดีและมีการปรับกระบวนการการก่อสร้างใหม่ โดยหันมาใช้ระบบการการก่อสร้างแบบ Coventional และการดีลกับพันธมิตรวัสดุก่อสร้างต่างๆ ทำให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการก่อสร้างได้เหมาะสม
ประกอบกับการที่บริษัทมีภาระหนี้สินที่น้อย ทำให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยต่ำมาก ซึ่งบริษัทมี “อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน” (D/E) อยู่เพียง 0.2 เท่า ทำให้บริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง
“หลังจากที่เราเข้าตลาดแล้ว เรามีความมั่นใจในการสร้างการเติบโตที่ต่อเนื่อง หลังจากเราได้เงิน IPO มาแล้ว ทำให้เรามีศักยภาพในการซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการได้เพิ่มเติมอีก ซึ่งเงินจาก IPO เรานำไปลงทุนทั้งหมด เพราะเรามีหนี้น้อยมาก ซึ่งเรามองว่าพีซแอนด์ลีฟวิ่ง จะเป็นหุ้น Growth และหุ้นปันผลที่ดีให้กับนักลงทุนไปพร้อมๆ กัน”
ท้ายสุด “ประสพศักดิ์” บอกไว้ว่า แม้ว่าจะเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ รายเล็กในตลาด แต่ถือว่าเป็นผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญและมีการบริหารจัดการที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ที่สามารถสร้างการเติบโต มีการพัฒนาโครงการในทำเลที่มีศักยภาพ และตรงกับความต้องการของลูกค้า