EE จ่อปิดดีลซื้อธุรกิจปลูกกัญชงไตรมาส 2/65 มูลค่า 600-700 ล้าน
“อีอี” ลุยธุรกิจกัญชงครบวงจรในปีหน้า เผยเตรียมเจรจาซื้อกิจการปลูกกัญชง-กัญชา 2 ราย คาดปิดดีลแรกไตรมาส 2/65 ใช้เงิน 600-700 ล้านบาท เล็งเปิด 3 แนวทางธุรกิจกลางน้ำ “ลงทุน-M&A-จ้างผลิต” พร้อมเปิดตัวธุรกิจปลายน้ำร้าน Cafe กัญชง
นายวรศักดิ์ เกรียงโกมล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ EE เปิดเผยว่า วานนี้ (8 ก.พ.2565) บริษัท แคนนาบิซ เวย์ จำกัด (CW) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย EE ถือหุ้น 80% เปิดตัวฟาร์มเพาะปลูกแบบโรงเรือน (Green House) ขนาด 9,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถปลูกได้ 30,000 ต้น นอกจากนั้นยังการปลูกในพื้นที่ Outdoor อีก 20,000 ต้น ทั้งหมดตั้งอยู่ในที่ดินของบริษัทที่มีเนื้อที่ทั้งหมด 36 ไร่ใน อ.วิหารแดง จ. สระบุรี หลังจากเริ่มปลูกต้นกัญชงตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564
โดย CM คาดว่าจะเริ่มเก็บเกี่ยวส่วนของใบกัญชงได้ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2565 เพื่อส่งให้พันธมิตรตามคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) และจะเริ่มเก็บเกี่ยวช่อดอกตั้งแต่เดือน พ.ค. นี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถทยอยรับรู้รายได้ทันทีตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2565 โดยผลผลิตล็อกแรก บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JP รับซื้อทั้งหมด
เบื้องต้นบริษัทคาดหวังขายผลผลิตช่อดอกกัญชงแห้งที่มีระดับสาร CBD มากกว่า 10% จำนวนไม่น้อยกว่า 20,000 กิโลกรัม/ปี โดยระดับสาร CBD มากกว่า 10% มีราคาขาย 7,500 บาท/กิโลกรัม และระดับสาร CBD มากกว่า 16% มีราคาขาย 15,000 บาท/กิโลกรัม
ทั้งนี้ คาดว่าปี 2565 บริษัทจะมีกำไรสุทธิ 250 ล้านบาท และมีแผนล้างขาดทุนสะสม 500 ล้านบาท ให้หมดภายในปี 2566 โดยนำกำไรมาล้างขาดทุน
สะท้อนเห็นภาพการลงทุนในธุรกิจกัญชง-กัญชา หลังจากช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการขายธุรกิจพลังงานออกไปหมดแล้ว สอดรับแผนธุรกิจของ EE ที่วางเป้าหมายในปี 2566 จะเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจกัญชงครบวงจร ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนใน “ธุรกิจต้นน้ำ” (ปลูกกัญชง-กัญชา) คาดว่าจะปิดดีลได้ในไตรมาส 2 มูลค่าลงทุน 600-700 ล้านบาท รวมทั้งกำลังคุยกับอีกพันธมิตรธุรกิจต้นน้ำในการซื้อธุรกิจอีก 1 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้ เนื่องจากเพื่อต้องการเพิ่มสร้างปริมาณ supply ให้ได้มากตามความต้องการของตลาด หรือกลุ่มลูกค้าพันธมิตร
รวมทั้ง ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาลงทุนใน “ธุรกิจกลางน้ำ” (โรงสกัด) ใน 3 แนวทางคือ 1.ลงทุนก่อสร้างเอง 2.ซื้อกิจการ (M&A) และ 3.จ้างผลิต คาดว่าจะได้ข้อสุปการลงทุนภายในปีนี้ และ “ธุรกิจปลายน้ำ” โดยบริษัทยังเตรียมสร้างร้าน Cafe กัญชง จำนวน 100 สาขาภายในไตรมาส 1 ปี 2565 คือ Cann Cafe จากนั้นจะขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะทยอยเปิดสาขาให้ครบ 1,000 สาขาก่อนสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรอุตสาหกรรมการบิน ได้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เพื่อศึกษาการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชงไปบริการให้กับผู้โดยสารบนเครื่องบิน เช่น อาหารที่มีส่วนผสมของใบกัญชา-กัญชง และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของสาร BCD ด้วยการซื้อวัตถุดิบ หรือหัวเชื้อน้ำเชื่อมจากบริษัท คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ยังจะร่วมมือกับพันธมิตรร้านอาหารญี่ปุ่น และแบรนด์อื่นๆ หรือบริการด้านอาหารในเครือโรงแรม Aquarius
พร้อมทั้งมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับกัญชงออกวางตลาดอย่างต่อเนื่อง เช่น Craft Soda ซ่าสนุก, ซอสทำอาหาร, ก๋วยเตี๋ยว และสมุนไพรบรรเทาอาการปวด เป็นต้น เพื่อบุกตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน
“บริษัทมั่นใจว่าการดำเนินการในส่วนต่างๆ ข้างต้นจะช่วยหนุนรายได้ให้กับกลุ่มบริษัท EE อย่างครบวงจร และเพิ่มขึ้นในแต่ละไตรมาส ซึ่งได้มีการเตรียมงบลงทุนไว้รองรับทั้งหมดแล้ว”
สำหรับมุมมองต่อภาพรวมอุตสาหกรรมกัญชงในประเทศไทยนั้น ประเมินว่า EE จะเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ได้เปรียบในตลาด เนื่องจากเป็นผู้ผลิตต้นนำที่ได้รับใบอนุญาตรายแรกๆ และสามารถปลูกได้จริง โดยระยะ 5 ปีนับจากนี้คาดว่าตลาดกัญชงจะมีมูลค่ารวมกว่า 15,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนตลาดต่างประเทศถือเป็นตลาดใหญ่คาดมีมูลค่ารวมกว่า 300,000 ล้านเหรียญสหรัต่อปี
สำหรับ การปลูกกัญชงเน้นใช้นวัตกรรมการปลูกและสายพันธุ์ที่มีคุณภาพด้วยการนำเข้าจากสหรัฐ 2 สายพันธุ์ ได้แก่ EHFEP #1 และ EHFEP #6 ซึ่งจะให้ผลผลิตที่มี CBD สูงถึง 19% และ 21% ตามลำดับ โดยปัจจุบันผลผลิตทั้งหมดมีสัญญาซื้อขาย (Order) ครบแล้ว ทั้งช่อดอกกัญชง(แห้ง) ใบกัญชง (สด) ลำต้น/กิ่งก้าน(แห้ง) และ ราก (สด)