“บีบีจีไอ” จับมือพันธมิตร ต่อยอดอุตฯ ชีวภาพมูลค่าสูง
ธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่งกำลังตั้งเข็มทิศธุรกิจมุ่งไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึง บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่มุ่งเน้นในการพัฒนาความยั่งยืนและความมั่นคงด้านพลังงาน โดยตั้งเป้าสู่ Net Zero ปี 2050
โดยให้ความสำคัญและพยายามผลักดันไบโอเทคโนโลยีให้โลกและผู้บริโภคได้รับสินค้าที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้โครงสร้างธุรกิจหลัก 5 ด้าน ได้แก่ ธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ธุรกิจการตลาด ธุรกิจพลังงานไฟฟ้าสีเขียว ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ และธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ
ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่ม บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากความร่วมมือกับ บมจ.น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ กลุ่มน้ำตาลขอนแก่น เพื่อร่วมดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง (High Value Bio-based Products) ผ่านการควบรวมบริษัท (Amalgamation) ตั้ง บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) (BBGI) ดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Holding Company เพื่อเข้าลงทุนในบริษัทต่างๆ ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ ได้แก่ เอทานอล ไบโอดีเซล สนับสนุนให้ BBGI เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพรายใหญ่ของประเทศไทย และต่อยอดองค์ความรู้ไปสู่ผู้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง
ล่าสุด ได้นำเอาเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology: SynBio) ผลักดันให้เกิดผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง สอดรับกับโมเดล BCG ของภาครัฐ และมีส่วนผลักดันให้ประเทศไทยพัฒนาไปสู่กลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง และขยายตลาดไปยังผลิตภัณฑ์เสริมความงาม เพื่อสุขภาพ และจะเป็นโปรดักส์ที่อยู่ในชีวิตประจำวันต่อไป
ชลัช ชินธรรมมิตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มน้ำตาลขอนแก่น กล่าวว่า บริษัทฯ มีนโยบายการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตน้ำตาลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมส่งเสริมนวัตกรรมผ่านการวิจัยและพัฒนา เพื่อรองรับการขยายธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจน้ำตาลอย่างครบวงจร โดยนำผลพลอยได้ที่เกิดจากกระบวนการผลิตไปสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดประโยชน์
“ความร่วมมือเพื่อดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพจะช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง โดยนำจุดแข็งของกลุ่มน้ำตาลขอนแก่นที่เป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศ มาช่วยสร้างความมั่นคงทางวัตถุดิบให้แก่ BBGI จากฐานการผลิตของโรงงานน้ำตาลรวม 5 แห่ง ซึ่งมีอัตราการหีบอ้อยรวม 131,500 ตันอ้อยต่อวัน โดยมีคาดการณ์ปริมาณอ้อยเข้าหีบปี 2565 อยู่ที่ 6.14 ล้านตันอ้อย”
ทั้งนี้ บริษัทฯ มองว่าน้ำตาลเป็นสินค้าที่มีราคาและขึ้นลงตามกลไกตลาด การต่อยอดโปรดักส์จะเป็นอนาคตที่สามารถเอาน้ำตาลออกไปใช้เพิ่มมูลค่าได้ กลุ่มบางจากฯ มีตลาดรองรับและมีความรู้ด้านอื่นๆ สามารถต่อยอดซึ่งกันและกัน สร้างจุดแข็งให้ BBGI ไม่ต้องนับ 1 ธุรกิจใหม่ ทำให้การลงทุนไปเร็วขึ้นมีประสิทธิภาพดีขึ้น สร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์การผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงได้
กิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ BBGI กล่าวว่า คาดว่าภายใน 2 ปีนี้ จะใช้เงินลงทุนราว 2,000 ล้านบาท ตั้งโรงงานพัฒนา ผลิต และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (Contract Development and Manufacturing Organization (CDMO)) ซึ่งสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงต่างๆ เช่น เอนไซม์, คอลลาเจน, เวย์โปรตีนจากนม, โปรตีนจากไข่ ตลอดจนผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือก
โดยโรงงานจะเพิ่มประสิทธิภาพและกำลังการผลิต แต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดการเบียดเบียนทรัพยากรธรรมชาติ และลดต้นทุนได้ดีกว่าการผลิตแบบดั้งเดิม ซึ่งหลักจากได้เริ่มพัฒนามา 4 เดือน ขณะนี้ มีโปรดักส์ออกมาจำหน่ายบ้างแล้วและจะทยอยออกโปรดักส์เน้นสุขภาพราว 3-4 ผลิตภัณฑ์ในเร็วๆ นี้
บริษัทฯ ได้เจรจากับพันธมิตรร่วมทุนราว 2-3 ราย โดยจะพิจารณารายที่มีความชำนาญในการทำ CDMO และมีฐานอยู่ในยุโรป สหรัฐ และสนใจมองหาพันธมิตรในไทย เพื่อเน้นการต่อยอดโรงงานไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูงโดยพื้นที่ตั้งโรงงานอาจใช้ฐานพื้นที่เดิมของบริษัทที่มีอยู่เดิม อาทิ ฉะเชิงเทรา กาญจนบุรี บางปะอิน และขอนแก่น หรืออาจจะเป็นพื้นที่ใหม่ซึ่งจะได้อยู่ที่ความเหมาะสม
“ขณะนี้ก็เริ่มพูดคุยเรื่องการออกผลิตภัณฑ์สำหรับวางจำหน่ายผ่านซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงจำหน่ายแบบ B2C เพื่อไปถึงผู้บริโภคโดยตรง และตั้งเป้าภายใน 5ปี จะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ High Value Bio-Based Products กว่า 50% ถือว่าไม่ยาก เพราะเทรนด์ขณะนี้ผู้บริโภคมักสนใจในเรื่องของสุขภาพและความงามมากยิ่งขึ้น”
ทั้งนี้ ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้หลักหมื่นล้านบาทตลอดปี แม้ว่าต้องเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 แต่ด้วยการบริหารจัดการที่ดี ส่งผลให้มีกำไรสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561–2563 มีกำไรสุทธิจำนวน 152 ล้านบาท 387 ล้านบาท และ 845 ล้านบาท ตามลำดับ เติบโตอย่างแข็งแกร่งมากกว่า 100% ต่อปี ขณะที่งวด 9 เดือนปี 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 903 ล้านบาท เติบโต 59% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ BBGI มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และพร้อมที่จะเติบโตอย่างมั่นคงต่อไปในอนาคต
ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ BBGI ได้ผ่านกระบวนการยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว คาดว่าจะเปิดให้จองซื้อได้ประมาณต้นเดือนมี.ค.2565