‘เงินบาท’ วันนี้เปิด’แข็งค่า’สูงสุดในรอบกว่า2เดือนที่32.87บาทต่อดอลลาร์
“กรุงไทย” ชี้แข็งค่าตามกระแสฟันด์โฟลว์ไหลเข้าหุ้นและบอนด์ไทยต่อเนื่อง แต่มีแนวโน้มผันผวนจากนี้ตลาดรอลุ้นตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ มองกรอบเงินบาทวันนี้ที่ระดับ 32.70-32.90 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(10ก.พ.)ที่ระดับ32.72 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นในรอบกว่า2เดือน และจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.77 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.70-32.90 บาทต่อดอลลาร์
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท แม้ว่า เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นมากกว่าคาดจนหลุดแนวรับที่ได้ประเมินไว้ จากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อทั้งหุ้นไทยและบอนด์ระยะสั้นไม่น้อยกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท
แต่เรามองว่า ในวันนี้ เงินบาทอาจมีแนวโน้มผันผวนมากขึ้นได้ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ ซึ่งเราเริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวของเงินดอลลาร์ที่เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นและมีแนวโน้มอาจแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงก่อนรับรู้ข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ ได้
อย่างไรก็ดี เงินบาทนั้นยังได้แรงหนุนจากโฟลว์ขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นแตะแนวต้านสำคัญแถว 1,830 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง ทำให้เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าไปมาก ในกรณีที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นหนักหากเงินเฟ้อสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นมากกว่าคาด
ทั้งนี้ เราคาดว่า ทั้งฝั่งผู้นำเข้าและผู้ส่งออกอาจมีการปรับระดับรอซื้อ/ขายเงินดอลลาร์ หลังเงินบาทแข็งค่าหลุดโซนแนวรับลงมาก โดยคาดว่า ฝั่งผู้นำเข้าต่างจะมารอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในช่วง 32.70บาทต่อดอลลาร์ ส่วนฝั่งผู้ส่งออกอาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ในช่วง 33.00 บาทต่อดอลลาร์
ผู้เล่นในตลาดเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่อง หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มคลายกังวลต่อแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งสะท้อนผ่านบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ยังเคลื่อนไหว sideways นอกจากนี้ตลาดยังได้แรงหนุนจากความหวังว่าการเจรจาระหว่างผู้นำฝรั่งเศสและผู้นำรัสเซียอาจช่วยลดความร้อนแรงของปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน/นาโต้ได้
ภาวะการเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหนุนให้ในตลาดการเงินฝั่งสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +2.08% ส่วนดัชนีS&P500 ปรับตัวขึ้น +1.45% โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาดรวมถึงความหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์การระบาดโอมิครอนได้ผ่านจุดเลวร้ายสุดไปแล้วและทางการก็เริ่มปรับแผนการรับมือการระบาด เพื่อให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตร่วมกับโอมิครอนได้
ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวขึ้นกว่า +1.81% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Cyclical โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ อาทิ Volkswagen +6.1%, BMW +3.8% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของหุ้นเทคฯ ที่ปรับตัวลงหนักในช่วงที่ผ่าน อาทิ Adyen +11.5%, Infineon Tech. +5.0%, ASML +3.9% หลังตลาดเริ่มคลายกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ทั้งนี้ เรามองว่า ยังคงต้องติดตามการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน/นาโต้ โดยมองว่า หากมีการถอนกำลังทหารจากทุกฝ่ายออกจากพื้นที่ ก็จะเป็นสัญญาณที่ดีและอาจช่วยหนุนให้ตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงได้มากขึ้น
ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 1.94% เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้น รายงานข้อมูลเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในวันนี้ ว่าข้อมูลเงินเฟ้อจะเพิ่มโอกาสเฟดขึ้นดอกเบี้ยได้มากกว่าคาด อาทิ ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนมีนาคม หรือ ขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 5 ครั้ง ได้หรือไม่ ซึ่งเราคาดว่าตลาดบอนด์อาจเผชิญความผันผวนมากขึ้นได้ในช่วงก่อนรับรู้รายงานข้อมูล เงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์โดยรวมยังเคลื่อนไหว sideways โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) แกว่งตัวใกล้ระดับ 95.56 จุด แม้ว่าเงินดอลลาร์จะมีจังหวะอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในช่วงที่ตลาดเปิดรับความเสี่ยง แต่เงินดอลลาร์ก็สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยได้ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในวันนี้ ซึ่งเรามองว่า ควรระวังความผันผวนของเงินดอลลาร์ทั้งช่วงก่อนรับรู้และหลังรับรู้ข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ โดยหากเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นสูงกว่าคาด กดดันให้ตลาดเชื่อว่าเฟดต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้นกว่าที่คาดไว้ ก็อาจหนุนให้ เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นแต่ แต่หากเงินเฟ้อไม่ได้เร่งสูงไปกว่าคาดมาก ตลาดอาจลดคลายกังวลปัญหาเงินเฟ้อและการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด กดดันให้เงินดอลลาร์สามารถอ่อนค่าลง สอดคล้องกับภาพตลาดการเงินที่จะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น
สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอติดตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ โดยตลาดคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสหรัฐฯ(CPI) ในเดือนมกราคมจะเร่งตัวขึ้นแตะระดับ 7.3% หนุนโดยราคาสินค้าในกลุ่ม Reopening อาทิ ราคาอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น และราคาสินค้าพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งแนวโน้มเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงนานกว่าที่เฟดเคยคาดการณ์ไว้ และแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น จะส่งผลให้เฟดเตรียมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งล่าสุดผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 5 ครั้งในปีนี้ โดยการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกจะเกิดขึ้นในการประชุมเดือนมีนาคม ทั้งนี้ จุดที่น่าสนใจและอาจกระทบต่อตลาดการเงินได้คือโอกาสการขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมดังกล่าว ซึ่งตลาดมองว่ามีโอกาสถึง 40% และตลาดอาจเชื่อในมุมมองดังกล่าวมากขึ้นได้ หากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นมากกว่าคาดและตลาดแรงงานฟื้นตัวแข็งแกร่ง
ส่วนในฝั่งเอเชีย ตลาดคาดว่า แนวโน้มการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจอินโดนีเซีย จะส่งผลให้ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) เลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 3.50% จนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ดีหรือเผชิญแรงกดดันจากเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นมาก