"ม.ล.ชโยทิต"ดันลงทุน 3 อุตฯเป้าหมาย ดึงเม็ดเงินต่างชาติเพิ่ม 1 ล้านล้าน
“ม.ล.ชโยทิต” ดัน ลงทุนรอบใหม่ 1 ล้านล้าน ใน 2 ปี ปรับโครงสร้างใหญ่การลงทุนภาคผลิต - ภาคท่องเที่ยว รักษาจีดีพี50% แข่งเวียดนาม-อินโดฯ มั่นใจศักยภาพไทยเติบโตได้ ชี้เสถียรภาพการเมืองไม่เป็นอุปสรรคการทำงาน เดินหน้าดึงรายใหญ่ต่างชาติลงทุนเต็มที่
วันนี้ (10 ก.พ.) ที่ห้องรับรอง ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ผู้แทนการค้าไทย (TTR) ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกหลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 ม.ค. เห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนการค้าไทย เป็นคนแรกของรัฐบาล
ม.ล.ชโยทิต กล่าวว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยในหลายส่วนยังต้องอาศัยองค์ความรู้ และการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจ และเพิ่มการลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เรามีความโดดเด่นแต่ต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายการลงทุนและแก้ไขกฎระเบียบ
ได้แก่ 3 อุตสาหกรรมหลักได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ที่ต้องปรับเปลี่ยนไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอกนิกส์ ที่ต้องยกระดับไปสู่สมาร์ทอิเล็กทรอกนิกส์ ที่ต้องการการลงทุนที่สอดคล้องกับการลงทุน Data Center และเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีความทันสมัยมากขึ้น
และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ต้องมีการดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงเข้ามาลงทุนและพำนักระยะยาวในไทยเพื่อให้มีการเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทยมากขึ้น จากที่ปัจจุบันมีชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทยประมาณ 4 แสนคน เราต้องการอีก 1 ล้านคนที่จะเข้ามาใช้จ่ายปีละประมาณ 1 ล้านบาทต่อคนช่วยให้มีเงินหมุนเวียนในประเทศได้มากขึ้น
โดยปัจจุบันนโยบายที่เป็นรูปธรรมแล้วคือมาตรการวีซ่าระยะยาว (LTR) ที่ได้สิทธิ์วีซ่าสูงสุด 10 ปี คาดว่าจะมีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ และมีผลทางกฎหมายได้ในอีก 2 เดือนข้างหน้า
โดยมีการตั้งเป้าหมายว่าเมื่อมีการปรับแนวทางการส่งเสริมการลงทุน และทำงานเชิงรุกในการดึงนักลงทุนและนักท่องเที่ยวคุณภาพเข้ามายังประเทศไทยในระยะยาวจะมีเม็ดเงินลงทุนรอบใหม่ในประเทศไทยประมาณ 1 ล้านล้านบาทในระยะเวลาประมาณ 2 ปี หากคิดเป็นการเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 6 – 7%
ทั้งนี้เป้าหมายในการส่งเสริมการลงทุนใน 3 สาขาที่สำคัญประกอบไปด้วยการลงทุน EV ประมาณ 3.6 – 4 แสนล้านบาท การลงทุนอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 2 - 4 แสนล้านบาท ที่เหลือเป็นการลงทุนในส่วนของการท่องเที่ยวที่เพิ่มมูลค่าที่จะมีนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อเข้ามาอยู่ในประเทศไทย
“อุตสาหกรรมทั้ง 3 ส่วนนี้ถือว่ามีความสำคัญกับเศรษฐกิจไทยมากคิดเป็นสัดส่วน 50% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องปรับเปลี่ยนเพื่อดึงดูดการลงทุนไม่เช่นนั้นจีดีพีส่วนนี้จะหายไปในระยะเวลาประมาณ 8 -10 ปี แล้วเราจะไปตามกลับมาก็ไม่ได้ ซึ่งลูกหลานของเราจะเดือดร้อน”
เมื่อถามว่าการเมืองในปัจจุบันจะเป็นอุปสรรคในการทำงาน และมีผลต่อเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ ม.ล.ชโยทิต กล่าวว่า ตนเข้ามาทำงานในส่วนนี้ไม่ได้สนการเมือง ต้องการเดินหน้าทำงานเพื่อประเทศชาติ ซึ่งตนก็ทำงานเต็มที่จะยุบเมื่อไหร่ จะเลิกเมื่อไหร่ไม่ได้สนใจเท่านั้น ขอเดินหน้าทำงานที่มีให้เต็มที่มากที่สุด