‘เงินบาท’ วันนี้เปิด ’อ่อนค่า’ ที่ 32.76 บาทต่อดอลลาร์

‘เงินบาท’ วันนี้เปิด ’อ่อนค่า’ ที่ 32.76 บาทต่อดอลลาร์

“กรุงไทย” ชี้เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลง หลังตลาดการเงินผันผวนรุนแรงจาก ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐเร่งสูงขึ้นกว่าคาด ตลาดปิดรับความเสี่ยงหนุนดอลลาร์แข็งค่า หลังจากนี้จับตากระแสฟันด์โฟลว์จะชะลอตัวหรือไม่ มองกรอบเงินบาทวันนี้ที่ระดับ 32.65 - 32.85 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(11 ก.พ.65)ที่ระดับ  32.76 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  32.63 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-32.85 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท แม้ว่า เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นมากกว่าคาดจนหลุดแนวรับที่ได้ประเมินไว้ จากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อทั้งหุ้นไทย และบอนด์ระยะสั้นอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ 

แต่แนวโน้มเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าคาด หลังข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐ เร่งขึ้นสูงกว่าคาด ก็กลับมากดดันให้ตลาดปิดรับความเสี่ยงและหนุนให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น

เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดนั้น จะช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทในระยะสั้นได้  อย่างไรก็ดี ควรจับตาแนวโน้มฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติว่ายังคงเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยสุทธิต่อเนื่องหรือไม่ เพราะหากนักลงทุนต่างชาติยังเดินหน้าซื้อสินทรัพย์ไทย ก็จะเป็นแรงหนุนให้เงินบาทไม่อ่อนค่าไปมากแม้ตลาดจะพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยงและกังวลการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดก็ตาม

ทั้งนี้ เราคาดว่า ฝั่งผู้นำเข้าต่างจะมารอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในช่วง 32.60 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนฝั่งผู้ส่งออกอาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ในช่วง 32.80 จนถึง 33.00 บาทต่อดอลลาร์ 

 

ตลาดการเงินผันผวนรุนแรง และกลับมาปิดรับความเสี่ยง หลังเงินเฟ้อ CPI สหรัฐ ในเดือนมกราคม พุ่งขึ้นแตะระดับ7.5% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1982 หนุนให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า การเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อสหรัฐ อาจหนุนให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยได้มากกว่าคาด 

นอกจากนี้ ตลาดการเงินยังถูกกดดันจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด James Bullard (ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายการเงิน FOMC Voter) ที่ได้ออกมาสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 1.0% ภายในเดือนกรกฎาคม และยังสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยระหว่างการประชุมของเฟดเพื่อจัดการปัญหาเงินเฟ้อที่เร่งตัวในระดับสูง โดยมุมมองดังกล่าวของ James Bullard ได้ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ย 0.5% สูงขึ้นถึง 95% จากวันก่อนหน้าที่ตลาดมองโอกาสดังกล่าวเพียง 24% (จากCME FedWatch Tool)

 

ภาวะการปิดรับความเสี่ยงของตลาด ได้กดดันให้ผู้เล่นในฝั่งสหรัฐ กลับมาเทขายหุ้นเทคฯและหุ้นสไตล์ Growth ที่อ่อนไหวกับแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ทำให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลงกว่า -2.10% ส่วนดัชนีS&P500 ก็ปรับตัวลง -1.81% ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่ม Cyclical ยังไม่ได้ปรับตัวลงไปมากนัก โดยเฉพาะหุ้นที่รายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาด 

 

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ย่อตัวลง -0.17% (ตลาดหุ้นยุโรปปิดก่อนช่วงตลาดหุ้นสหรัฐ ผันผวนหนัก) เนื่องจากตลาดจะรอรับรู้แนวโน้มเงินเฟ้อ CPI สหรัฐ ซึ่งคาดว่าในวันนี้ ตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นสหรัฐ เช่นกัน โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคฯ ที่อาจเผชิญแรงขายหนักอีกครั้ง ทั้งนี้ เรามองว่า ยังคงต้องติดตามการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน/นาโต โดยมองว่า หากมีการถอนกำลังทหารจากทุกฝ่ายออกจากพื้นที่ ก็จะเป็นสัญญาณที่ดี และอาจช่วยหนุนให้ตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงได้มากขึ้น

 

ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ แนวโน้มเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าคาดได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ในฝั่งสหรัฐ ล้วนปรับตัวสูงขึ้น โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ พุ่งขึ้นกว่า 10bps สู่ระดับ 2.04% สอดคล้องกับมุมมองของตลาดที่มองว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้มากถึง 6-7 ครั้งในปีนี้ และตลาดยังมองว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้ 0.5% ในการประชุมเดือนมีนาคม

 

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ผันผวนหนักในช่วงก่อน และหลังรับรู้รายงานเงินเฟ้อ CPI โดยสุดท้ายเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยโอกาสเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าคาด และภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด  ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 95.79 จุด นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ยังได้กดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1,826 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า การที่ราคาทองคำยังไม่สามารถผ่านแนวต้านสำคัญ และเผชิญแรงกดดันจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ก็อาจหนุนให้ผู้เล่นทยอยเข้ามาขายทำกำไรทองคำมากขึ้นได้

 

สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกนในสหรัฐ โดยตลาดมองว่า แนวโน้มสถานการณ์การระบาดของโอมิครอนที่อาจผ่านจุดเลวร้ายสุดไปแล้วอาจช่วยให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (Uof Michigan Consumer Sentiment) เดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแตะระดับ 67.5 จุด ทั้งนี้ ตลาดจะให้ความสนใจข้อมูลความคาดหวังเงินเฟ้อ (Inflation Expectation) ของผู้บริโภคทั้งในระยะ 1 ปี ข้างหน้าและระยะ 5 ปี ข้างหน้า ว่ามีการเร่งตัวขึ้นสูงไปจากเดิมมากขนาดไหน เพราะตลาดเริ่มมองว่า เฟดจะให้ความสนใจแนวโน้มความคาดหวังเงินเฟ้อเช่นกัน และเชื่อว่าการส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยของเฟดก็เพื่อช่วยควบคุมให้ความคาดหวังเงินเฟ้อของผู้บริโภคไม่ได้เร่งตัวสูงจนน่ากังวล

 

พิสูจน์อักษร  โดย....สุรีย์   ศิลาวงษ์